วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2563

สุขใจ (คือปัญญา แก้วสารพัดนึก) สุขมีสองอย่าง ทางโลกกับทางธรรม สุขทางโลก สุขต่ำๆ เหมือนกันล้ำ กับหมู่หนอน เป็นความพอใจประเดี๋ยวประด๋าว ไม่ยืนยาวแน่นอน ความกระหายความเดือดร้อน ไม่ผ่อนคลาย

สุขใจ
(คือปัญญา แก้วสารพัดนึก)



สุขมีสองอย่าง ทางโลกกับทางธรรม
สุขทางโลก สุขต่ำๆ เหมือนกันล้ำ กับหมู่หนอน
เป็นความพอใจประเดี๋ยวประด๋าว ไม่ยืนยาวแน่นอน
ความกระหายความเดือดร้อน ไม่ผ่อนคลาย

สุขจากการได้การมี คือสุขทางโลก
ชุ่มโชก ด้วยกิเลสตัณหา
รวยเท่าใดก็ไม่พอ อย่างว่า
  พวกนี้นั่นหนา คือพวกที่ ไม่เห็นความดีพระนิพพาน

สุขทางโลก ยิ่งได้ยิ่งกระหายอยาก
สติถูกพราก ไม่รู้จักดีชั่ว
มือใครยาวสาวได้สาวเอา ไม่อายไม่กลัว
มารู้ตัวเมื่อสาย ตายทั้งเป็น
สุขทางธรรม สุขล้ำ จากการให้การสละ
สุขใจ เมื่อละได้วางได้
กิเลสตระหนี่ ไม่อาจที่ จะเกาะกินใจ
บันดาลให้ โชคดีหลาย ทรัพย์ไหลมา

ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ ยิ่งไหลก็ยิ่งมี มหานทีใหญ่

นำ้เก่าไหลไป น้ำไหม่ไหลมา ไม่ขาด
หยุดไม่ได้ น้ำตื้นเขิน เปลี่ยนทางเดิน เป็นธรรมชาติ
คนตระหนี่ สมบัติเป็นวิบัติ ชีวิตข้องขัดอันตราย
สุขทางธรรม สุขใจ มีผู้สงสัยว่ากินลมกิแล้ง
เป็นสุขแห้งๆ สมบัติหาย เหลือไว้แต่กลิ่น
ทำทานไปหมด ตนเองอด ไม่มีจะกิน
คนทั่วไปทั้งสิ้น คิดแบบนี้
พระพุทธองค์ ทรงตรัสตอบปัญหานี้ว่า
ผู้บำเพ็ญทานนั้นหนา หนึ่ง จะมีผู้รักใคร่เป็นอันมาก
สอง จะมีคนดีคบหา ปกปักษ์
สาม มีผู้อุปถัมภ์ค้ำจุน และสี่ ประหลาดนัก จักมีผู้นำมาประโยชน์มาให้
สี่ข้อดังกล่าว ใช่เขา มิตรแท้
คอยแหนแห่ ใกล้ชิด สนิทสนม
เป็นเหมือนดังแขนขา อันเกลียวกลม
สุขบรม สมปราถนาทุกประการ

มีสุขใจ ด้วยรักใคร่ เคารพ บูชา
เป็นทางแห่งปัญญา แก้วสารพัดนึก
ใจสว่างจ้า จะสมปราถนา เมื่อตรองตรึก
ตามระลึก สุขไม่สิ้น อจินไตย

;;;;;;;;;;



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น