วาจาสุภาษิต
(มีฤทธิ์ ให้สุขทุกคน)
;;;;;;;;;;
วาจาสุภาษิต
(มีฤทธิ์ ให้สุขทุกคน)
;;;;;;;;;;
วาจาสิทธิ์
(ด้วยจิตเมตตา)
ส่วนคนเหลวไหล เชื่อไม่ได้ในคำพูด
แย่สุด พูดแล้วคนไม่ฟัง
หมดความเชื่อถือ ทุกคนหันหลัง
ทุกคนเกลียดชัง คนตระบัดสัตย์
เป็นหมาหัวเน่า น่าเศร้าแท้
ชีวิต มีแต่..พังกับพัง
ยากนัก ที่จักหันหลัง
ละล้าละลัง ทุกข์หนัก
การพูดนั้นง่าย แต่บาปหลายเกินคิด
คนวาจาสิทธิ์ ต้องคิดก่อนพูด
ฝึกจิตให้มีเมตตา จึงดีสุด
คิดก่อนพูด จึงจะเกิดขึ้นได้
ผู้มีสัจจะ จะไม่พูด วาจาสี่
หนึ่ง ไม่พูดวาจาที่ เป็นเท็จ
สอง ไม่พูดวาจาที่ส่อเสียด อันเป็นเหตุ
เกิดอาเพท ทะเลาะเบาะแว้ง
สาม ไม่พูดวาจา ที่หยาบคาย
อันบ่งบอกถึงนิสัย ตลาด
สี่ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ใครๆขยาด
น่าเบื่อขนาด น่าระอา
จิตเมตตา จึงจะมีวาจาสุภาษิต
เป็นวาจาชนิด สะกิดใจคนฟัง
เกิดปัญญา มีศรัทธา ประดัง
หันหลัง..ให้ตัณหา หันหน้าเข้าวัด
;;;;;;;;;;
จิตเมตตา
(บุญวาสนาไหลมาไม่ขาด)
พระสารีบุตร อรหันต์ ท่านเลิศทางปัญญา
เอตทัคคะ เบื้องขวา ของพระพุทธเจ้า
ท่านอ่อนน้อม ถ่อมตน มีเรื่องเล่า
มีสามเณรน้อย ๗ ขวบ กล่าว..เตือน
ว่า ผ้านุ่งแลบออกมา นะ พระอาจารย์
ท่านยิ้มขันๆ แล้วหัน หาที่เหมาะ
จัดแจงผ้านุ่ง ให้เรียบร้อย จำเพาะ
แล้วถามล้อๆ และขอขอบคุณ
พระอาจารย์ เป็นอย่างไร ดีไหมอย่างนี้
ขอบคุณที่ช่วยชี้ นี้เป็นมหากรุณา
พร้อมกับยกมือไหว้ ด้วยใจเมตตา
ดูเหมือนง่ายๆ แต่ว่า ยากนัก
ผู้ไม่เกลี้ยวกลาด เมื่อมีผู้บังอาจตักเตือน
เป็นผู้ใหญ่ หรือเพื่อน ก็ยังไม่เป็นไร
นี้เป็นผู้น้อย ต้อยต่ำ ช่างกล้าหลาย
ท่านสารีบุตร ท่านมียศใหญ่ ใจเมตตา
มิน่า ท่านเอตทัคคะ ทางปัญญา
มีใจสว่างเจิดจ้า ยิ่งกว่าพระอาทิตย์
ใจมีแต่เมตตา ดุจมารดาทุกขณะจิต
แม้ลูกน้อยจะออกฤทธิ์ จิต ก็ไม่หวั่นไหว
ความโกรธเกลียดอาฆาต ขจัดออกสิ้น
เหมือนผลไม้น่ากิน มีรสซาบซ่าน หวานสนิท
มีรสอร่อย และมีคุณไม่น้อย เกินคิด
มหาชนตามติด แสวงหา
ผู้มีความเกลี้ยวกลาด ด้วยจิตขาดเมตตา
สิ่งที่ตามมา คือใจหมองหม่น
ความสุขหดหาย ความโชคร้าย หนีไม่พ้น
เป็นคนเหมือนไม่ใช่ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ถอยห่าง
ผู้มีจิตเมตตา ดุจมารดา หาได้ยาก
ใจต้องสว่างมากๆ รักการปฏิบัติธรรม
ทานศีลภาวนา กิจวัตร ประจำ
มีบุญวาสนาค้ำ มีแต่ความสุขสำเร็จ
;;;;;;;;;;