แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ จิตเมตตา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ จิตเมตตา แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2566

วาจาสุภาษิต (มีฤทธิ์ ให้สุขทุกคน) คำไพเราะ ที่มีประโยชน์ ทุกข์ปลด ให้ตนและคนอื่นได้ มีฤทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยใจ หยุดในที่ไสว ภายในตน

 วาจาสุภาษิต
(มีฤทธิ์ ให้สุขทุกคน)

 คำไพเราะ ที่มีประโยชน์
ทุกข์ปลด ให้ตนและคนอื่นได้
 มีฤทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยใจ
หยุดในที่ไสว ภายในตน

 กล่าววาจา พาตนไม่เดือดร้อน
ตั้งสติให้ดีก่อน ไม่รีบร้อนพูด
 วาจาสุภาษิต ดีสุด
 ตั้งสติพูด ด้วยจิตเมตตา
กล่าวแต่วาจา ที่น่าพอใจ
อย่าให้ใคร ระคายเคืองเป็นดี
ดังนั้น สำคัญต้องมีสติ
อย่าเอ่ยวจี ตามอารมณ์
ในกาลไหนๆ ก็ไม่ควรกล่าว
วาจาที่เขา ไม่พอใจ
ถึงแม้ด้วยความหวังดี ก็พูดไม่ได้
เดี๋ยวจะกลาย เป็นการอวดรู้อวดดี
 วาจาที่แม้ดี แต่ไม่เกินการ
การพูดนาน มันน่าเบื่อ
แม้อาหารอร่อย แต่ก็เหลือ
กลายเป็นเบื่อ อิ่มไปอีกนาน
ไม่ควรเปล่งวาจา ที่ชั่วเลย
วาจาที่เอ่ย แล้วได้บาป
ทั้งตนและคนฟัง สติดับ
คำไม่จริง คำหยาบ..เป็นต้น
เปล่งวาจา ไม่นำ ความดือดร้อน
แน่นอน คือวาจาสุภาษิต
 ถูกกาล มีเมตตา จึงมีฤทธิ์
เกิดบุญศักดิ์สิทธิ์ ให้สุขทุกคน

;;;;;;;;;;

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

วาจาสิทธิ์ (ด้วยจิตเมตตา) พูดอย่างไร ทำได้อย่างนั้น สุดสำคัญ ท่านได้ สัจจะบารมี เป็นคนศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์ทางวจี สุขสมปราถนาในทุกที่ ย่อมมีมา

 วาจาสิทธิ์
(ด้วยจิตเมตตา)


พูดอย่างไร ทำได้อย่างนั้น
สุดสำคัญ ท่านได้ สัจจะบารมี
เป็นคนศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์ทางวจี
สุขสมปราถนาในทุกที่ ย่อมมีมา

ส่วนคนเหลวไหล เชื่อไม่ได้ในคำพูด
แย่สุด พูดแล้วคนไม่ฟัง
หมดความเชื่อถือ ทุกคนหันหลัง
ทุกคนเกลียดชัง คนตระบัดสัตย์

เป็นหมาหัวเน่า น่าเศร้าแท้
ชีวิต มีแต่..พังกับพัง
 ยากนัก ที่จักหันหลัง
ละล้าละลัง ทุกข์หนัก

การพูดนั้นง่าย แต่บาปหลายเกินคิด
คนวาจาสิทธิ์ ต้องคิดก่อนพูด
ฝึกจิตให้มีเมตตา จึงดีสุด
คิดก่อนพูด จึงจะเกิดขึ้นได้

ผู้มีสัจจะ จะไม่พูด วาจาสี่
หนึ่ง ไม่พูดวาจาที่ เป็นเท็จ
สอง ไม่พูดวาจาที่ส่อเสียด อันเป็นเหตุ
เกิดอาเพท ทะเลาะเบาะแว้ง

สาม ไม่พูดวาจา ที่หยาบคาย
อันบ่งบอกถึงนิสัย ตลาด
สี่ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ใครๆขยาด
น่าเบื่อขนาด น่าระอา

จิตเมตตา จึงจะมีวาจาสุภาษิต
เป็นวาจาชนิด สะกิดใจคนฟัง
เกิดปัญญา มีศรัทธา ประดัง
หันหลัง..ให้ตัณหา หันหน้าเข้าวัด

;;;;;;;;;;

วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

จิตเมตตา (บุญวาสนาไหลมาไม่ขาด) ผู้มีจิตเมตตา ดุจมารดา หาได้ยาก ใจต้องสว่างมากๆ รักการปฏิบัติธรรม ทานศีลภาวนา กิจวัตร ประจำ

จิตเมตตา
(บุญวาสนาไหลมาไม่ขาด)

พระสารีบุตร อรหันต์ ท่านเลิศทางปัญญา
เอตทัคคะ เบื้องขวา ของพระพุทธเจ้า
 ท่านอ่อนน้อม ถ่อมตน มีเรื่องเล่า
 มีสามเณรน้อย ๗ ขวบ กล่าว..เตือน

ว่า ผ้านุ่งแลบออกมา นะ พระอาจารย์
 ท่านยิ้มขันๆ แล้วหัน หาที่เหมาะ
จัดแจงผ้านุ่ง ให้เรียบร้อย จำเพาะ
แล้วถามล้อๆ และขอขอบคุณ

พระอาจารย์ เป็นอย่างไร ดีไหมอย่างนี้
ขอบคุณที่ช่วยชี้ นี้เป็นมหากรุณา
พร้อมกับยกมือไหว้ ด้วยใจเมตตา
ดูเหมือนง่ายๆ แต่ว่า ยากนัก

ผู้ไม่เกลี้ยวกลาด เมื่อมีผู้บังอาจตักเตือน
เป็นผู้ใหญ่ หรือเพื่อน ก็ยังไม่เป็นไร
นี้เป็นผู้น้อย ต้อยต่ำ ช่างกล้าหลาย
ท่านสารีบุตร ท่านมียศใหญ่ ใจเมตตา

มิน่า ท่านเอตทัคคะ ทางปัญญา
มีใจสว่างเจิดจ้า ยิ่งกว่าพระอาทิตย์
ใจมีแต่เมตตา ดุจมารดาทุกขณะจิต
แม้ลูกน้อยจะออกฤทธิ์ จิต ก็ไม่หวั่นไหว

ความโกรธเกลียดอาฆาต ขจัดออกสิ้น
เหมือนผลไม้น่ากิน มีรสซาบซ่าน หวานสนิท
มีรสอร่อย และมีคุณไม่น้อย เกินคิด
 มหาชนตามติด แสวงหา

ผู้มีความเกลี้ยวกลาด ด้วยจิตขาดเมตตา
สิ่งที่ตามมา คือใจหมองหม่น
ความสุขหดหาย ความโชคร้าย หนีไม่พ้น
เป็นคนเหมือนไม่ใช่ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ถอยห่าง

ผู้มีจิตเมตตา ดุจมารดา หาได้ยาก
ใจต้องสว่างมากๆ รักการปฏิบัติธรรม
ทานศีลภาวนา กิจวัตร ประจำ
มีบุญวาสนาค้ำ มีแต่ความสุขสำเร็จ

;;;;;;;;;;