ระเบิดเวลา
(มีติดตัวมาทุกคน)
;;;;;;;;;;
ระเบิดเวลา
(มีติดตัวมาทุกคน)
;;;;;;;;;;
ชีวิตสดใส
(ถ้าใจปีติ)
ชีวิตสดใส ใจปีติ เป็นที่ปราถนา
คนทั้งหลาย จึงวิ่งหาทรัพย์ภายนอก
ได้มาแล้ว ใจไม่ใสดอก ขอบอก
คล้ายโดนหลอก เหมือนสามีแก่ มีภรรยาสาว
ทรัพย์ภายนอก ล้วนของหลอก ให้หลง
ดูคล้ายๆ ทำให้เรามั่นคง จึงหลงมัน
เมื่อ เราแก่เราเจ็บเราตาย ห่วงอาลัย ยึดมั่น
ส่วนภรรยาสาวนั้น เร่งวันให้เราตาย
ใจปีติมิมีถอย ไม่ว่ามีทรัพย์น้อย หรือมาก
มหัศจรรย์ยิ่งนัก เพียงขอให้สละทรัพย์ ด้วยศรัทธา
ทรัพย์จึงเป็นเครื่องปลี้มใจ อย่างว่า
สุขสมปราถนา จึงจะมีมาตลอดกาล
ชีวิตเหมือนตะเกียง มีไฟ คือใจปีติ
ตะเกียงนี้ ไม่ดับ เหมือนกับ มีน้ำมัน
ทาน เป็นเสบียง เลี้ยงชีวัน
ขาดทาน..ขาดน้ำมันไม่ได้ ตะเกียงดับ
มีทานเป็นน้ำมัน ศีลนั้นคือ ไส้ตะเกียง
มีน้ำมันหล่อเลี้ยง ไส้ตะเกียง ก็ไม่หมด
ภาวนาเกิดศรัทธา ปีติปรีดา ไม่ละลด
ทานศีลภาวนา จึงเป็นทั้งหมด ของชีวิต
อีกประการหนึ่ง ซึ่งตะเกียงอาจดับได้
คือ ลมกันโชกใหญ่ คล้ายระเบิดเวลา
เป็นวิบากกรรมรุนแรง แซงโค้งมา
ไม่อาจจะ หลบเลี่ยง ตะเกียงชีวิตก็เลยดับ
ดังนั้นผู้ไม่ประมาท เพื่อกำจัด กรรมตัดรอน
จึงลุ้นเร่ง สร้างบารมีไว้ก่อน ก่อนจะสาย
หนักเป็นเบา ถ้าเบาก็ไม่เป็นไร
แสวงบุญสร้างบารมี จึงใช่ กรณียกิจ
;;;;;;;;;;
ชีวิตอันตราย
(มาเป็นสาย ระเบิดเวลา)
กรรมวิบาก จงรู้จัก คือระเบิดเวลา
ติดตัวเรามา เป็นสาย
ผู้ประมาท เหมือนถูกรุกฆาต เป็นตาย
ปัญหาน้อยใหญ่ ใช่มัน กรรมวิบาก
จะโชคดีหรือร้าย ล้วนใช่ กรรมวิบาก
เมื่อโชคดีมาก ก็อย่าลิงโลดใจ
ทำดีไม่ละลด ปลดชะนวนโชคร้าย
ที่จะไหลมาเป็นสาย เมื่อได้โอกาศ
ระเบิดเวลา จะมาเมื่อใด ไม่มีใครรู้
เราต้องสู้ คือไม่ประมาท ขาดสติ
ทำความดีเป็นสาย ป้องกันไว้สุดดี
แม้กรรมวิบากมากมี ก็มิอาจทำอันตราย
เอาสติไว้ในตน จึงจะพ้น กรรมวิบาก
เหมือนฝนตกจาก..ฟ้า อยู่ใต้หลังคาหนีฝน
การมีสติ หรือสติดี เอาใจไว้ในตน
สุขท่วมท้น การฝึกตน เจริญสติ
การนั่งสมาธิ ฝึกสติ เจริญภาวนา
จึงเป็นวิชา ของผู้รู้ทันชีวิต
หนีพ้นกฎแห่งกรรม ที่ตามติด
ชีวิต จึงสุขสมปราถนา ทุกประการ
จะเจริญภาวนา ต้องรักษาศีล
คือยกตน ให้พ้นราคิน ราคะ
สะอาด เป็นระเบียบ เนียบมารยาท ของมนุษย์มะนา
เป็นมนุษย์เท่านั้น จึงจะ ทำความดี เจริญสติได้
มีศีล คือคนใจสูง จะต้องพยุงด้วย ทาน
มิฉนั้น มันยาก จะรักษาศีลได้
เหมือนตึกสูงๆ ยิ่งสูงยิ่งอันตราย
การสร้างบารมี จึงไม่อาจทำได้ ไปคนเดียว
ดังนั้น ทานศีลภาวนา นี่หละทางสายกลาง
ทางบริสุทธิ์ ใสสว่าง ทางบุญ
ทางหนีกรรมวิบาก หนีกฎไตรลักษณ์ คนไม่คุ้น
ซึ่งต้องผ่านศูนย์..กลางกาย พบพระรัตนตรัยในตัว
;;;;;;;;;;
ชีวิตไม่มีตาย
(เพียงเปลี่ยนภพภูมิใหม่เท่านั้นเอง)
เราทุกคนเกิดมา พกระเบิดเวลา มาคนละลูก
เวลาที่จะระเบิด ถูก..กำหนด ด้วยกฎแห่งกรรม
มัจจุมาร มีอานุภาพมาก ไม่อาจจักล่วงล้ำ
เกิดตายซ้ำๆ ทุกข์กระหน่ำ กรรมสนอง อย่างแสนสาหัส
ตายเกิดๆ เวียนว่ายไป ในวัฏฏะ
นั่นหละ วัฏฏะ จึงว่าเป็นคุกประหาร
จะถูกฆ่าเมื่อใด ก็ไม่ระบุไว้ ไม่ให้ตั้งตัวทัน
คนประมาทนั้น มัวเพลินไป รู้ตัวก็สายแล้ว
ทำพระนิพพานให้แจ้งเท่านั้น หนีมัน ความตาย
หลุดจากกฎแห่งกรรมได้ เป็นอมตะ เข้าสู่พระนิพพาน
เดินตามทางสายกลาง ทานศีลภาวนา เท่านั้น
แม้ยังเวียนว่ายเหมือนกัน ก็สุขสบาย เหมือนได้อยู่เกาะ
ชีวิตสรรพสัตว์ เหมือนเช่น เป็นภาชนะดิน
ย่อมสูญสิ้น สลายไป
ทรัพย์สินสักนิด ก็ตามติดไม่ได้
มีแต่บุญบาป เท่านั้นไซร้ ติดตามได้เท่านั้นเอง
แม่น้ำเมื่อมีน้ำเต็มฝั่ง ย่อมยังต้นไม้ริมฝั่ง พัดพาไป
สรรพสัตว์ทั้งหลาย ย่อมถูกชราและความตาย นำไปฉันนั้น
วันคืนล่วงไปๆ วัยย่อมถูกชราพาไปเช่นกัน
ผู้เห็นภัยในมรณะนั้น จึงตั้งใจมั่น สั่งสมบุญ
กาลเวลา คล้ายกับว่า กำลังกลืนกินสัตว์ทั้งหลาย
เมื่อเห็นคนอื่นตาย จึงไม่ควรร้องไห้โศกศัลย์
จงมีสติ ว่าตัวเรานี้ ใกล้ความตาย เข้าไปทุกวัน
กำลังถูกลงทัณฑ์ ด้วยการเจ็บป่วยไข้ และวัยชรา
คนที่เศร้าโศกถึงคนตาย นั้น คล้ายเด็กแท้
ที่ร้องไห้ แงๆ จะเอาเดือนดาว
คนที่ตาย เดินทางไกล ไปตามทางของเขา
ที่น่าเศร้า คือชีวิตของเรา ไม่ดูแล
ชีวิตสรรพสัตว์ เหมือนกันชัด กับผลไม้สุกบนต้น
พร้อมที่จะหล่น..ลงมา ทุกเวลาก็ว่าได้
เมื่อลมมาเยือน สะเทือนสะท้าน หวั่นไหว
เมื่อเจ็บป่วยไข้ หรือเมื่ออยู่ในวัยชรา
ชีวิต ไม่มีวันตาย เพียงเปลี่ยนภพภูมิใหม่ เท่านั้นเอง
กฎแห่งกรรมบันเลง กิเลสกรรมวิบาก
วนเวียนเป็นวัฏฏะ แสนทุกข์ยาก
น้ำตาไหลพราก มากกว่าน้ำในมหาสมุทร
;;;;;;;;;;