แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สงเคราะห์ญาติ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สงเคราะห์ญาติ แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2567

กฎไตรลักษณ์ (ทำสรรพสิ่งเหมือนยิ่งพยับแดด) กฎไตรลักษณ์ ทำทุกสรรพสิ่ง เหมือนยิ่ง พยับแดด จับต้องไม่ได้ คล้ายกับ จะล่อให้ไป แต่เมื่อเข้าใกล้ กลับไม่มี

กฎไตรลักษณ์
(ทำสรรพสิ่งเหมือนยิ่งพยับแดด)

 กฎไตรลักษณ์ ทำทุกสรรพสิ่ง
เหมือนยิ่ง พยับแดด จับต้องไม่ได้
คล้ายกับ จะล่อให้ไป
แต่เมื่อเข้าใกล้ กลับไม่มี
เหมือนคน หาทรัพย์ ดับตัณหา
 แต่ว่า มีเท่าใด ก็ไม่พอ
หมู่มารใช้เป็นอุบาย ล่อ
เป็นไก่ต่อ ล่อลงอบาย
ดังนั้น การหาทรัพย์ คู่กับการทำทาน
 เพื่อป้องกัน ตัณหา พาฉิบหาย
ทรัพย์สมบัติ เป็นวิบัติ อันตราย
เลี้ยงลูกหลานไม่ได้ กลายเป็นโจร
การทำทานยังได้บุญ หนุนชีวิต
เทวดาสถิตย์ ปกปักษ์รักษา
 มีสัมมาทิฏฐิ มีศรัทธา
 ทางสมปราถนา ทางบุญ
 
กฎแห่งกรรม กฎไตรลักษณ์ 
สร้างวัฏฏจักร ยากจักถ่ายถอน
เวียนว่าย ในอบาย อย่างแน่นอน
แสนทุกข์ร้อน สรรพสัตว์

มหาปูชนียาจารย์ ไปสุดธรรม
 ปราบไอ้ดำ ตัวการใหญ่
กลั่นแกล้งสรรพสัตว์ วนเวียนไป
น่าเวทนาหลาย เกิดตายๆ อนันตกาล
จะไปตามท่าน ต้องมุ่งมั่น
อุดมภ์การ ทำพระนิพพานให้แจ้ง
อีกทั้ง แสวงบุญสร้างบารมี สุดแรง
ดุสิตบุรี เป็นแหล่ง ที่พักกลางทาง
สรรพสัตว์ ล้วนคือญาติ 
เคยรักร่วมชาติ ผูกพันทั้งนั้น
สงเคราะห์ญาติ บุญอนันต์
ทางสายกลางเท่านั้น สุขสันติ์ชีวิต

;;;;;;;;;;

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2567

ผู้มีปรีชาได้โภคะ (ย่อมสงเคราะห์ญาติ) ผู้มีปรีชา ได้โภคะแล้ว ย่อมไม่แคล้ว สงเคราะห์หมู่ญาติ และเป็นธรรมดา ธรรมชาติ ผู้เปรื่องปราชญ์ ย่อมบันเทิงในสวรรค์

 ผู้มีปรีชาได้โภคะ
(ย่อมสงเคราะห์ญาติ)

ผู้มีปรีชา ได้โภคะแล้ว
 ย่อมไม่แคล้ว สงเคราะห์หมู่ญาติ
และเป็นธรรมดา ธรรมชาติ
ผู้เปรื่องปราชญ์ ย่อมบันเทิงในสวรรค์

บัณฑิต ไม่ประพฤติกรรมชั่ว
เพื่อส่วนตัว แห่งสุขของตน
สัตบุรุษเมื่อมีทุกข์ ก็อดทน
เที่ยงธรรมล้น พ้น ฉันทาคติโทสาคติ
การบำเพ็ญประโยชน์ ที่ไม่ฉลาด
ก็ไม่อาจ นำสุข
ผู้ทรามปัญญา พร่าประโยชน์ นำทุกข์
 ดุจลิง ที่ชอบสนุก เฝ้าสวนฉะนั้น
บุรุษ จะเป็นบัณฑิต
ในทิศ ทั้งปวงก็หาไม่
 แม้สตรี ก็เป็นบัณฑิตได้
มีปัญญาใส ได้เหมือนกัน
ภิกษุ ไม่ควรหวั่นไหว ในคำนินทา
 แม้ว่า สรรเสริญ ก็ไม่เหิมใจ
บรรเทาความโลภ ความตระหนี่ได้
และไม่โกรธ ไม่ส่อเสียด
ผู้ฉลาด เฉียบแหลม
 แสดง เหตุและไม่ใช่เหตุ ได้ชัด
และคาดเห็นผล ประจักษ์
ย่อมพ้นทุกข์ แม้หนัก ได้ฉับพลัน
จงประพฤติตน เป็นคนโสด
 เขารู้กันหมด ว่าเป็นบัณฑิต
ส่วนคนโง่ ฝักใฝ่ในเมถุน คนสิ้นคิด
กรรมตามติด ย่อมเศร้าหมอง

;;;;;;;;;;

วันเสาร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2567

กฎแห่งกรรม (นำชีวิต) สัตว์ จำแนก ไปตามกรรม ที่ทราม หรือประณีต คิดพูดทำ แล้วแต่จิต ทรามหรือปราณีต เป็นนิสัย

 กฎแห่งกรรม
(นำชีวิต)

สัตว์ จำแนก ไปตามกรรม
ที่ทราม หรือประณีต
คิดพูดทำ แล้วแต่จิต
ทรามหรือปราณีต เป็นนิสัย
กรรมวิบาก กำกับชีวิต
จิตปราณีต วิบากของบุญ
สุขสมปราถนา มีมาหนุน
อุปถัมภ์ ค้ำจุน เป็นสุข
การงานอะไร ๆ ที่ย่อหย่อน
ย่อมแน่นอน ไม่มีผลมาก
ผู้มีสัจจะ ทนได้ ความลำบาก
แม้ทุกข์ยาก ไม่ขาดแสวงบุญ
 กรรมชั่วที่ทำ ย่อมนำไปสู่ทุคติ
กรรมดี แน่ล้ำ นำสุขี
กฎแห่งกรรม กฎชีวี 
คนดี มีขันติ เดินทางธรรม
 ความดี อันคนดีทำง่าย
คนชั่วร้าย ยากหลาย จะทำดี
ด้วยกิเลสตัณหา ตระหนี่
จะได้สติ ตอนใกล้ตาย ก็สายแล้ว
ชีวิต มีกฎแห่งกรรม
ปุถุชนคนต่ำ ไม่สนใจ
กินนอนถ่ายสืบพันธุ์ กันไป
น่าเวทนาหลาย ล้วนใช่ญาติของเรา
 การสงเคราะห์ญาติ ขาดไม่ได้
สำคัญหลาย ได้บารมี
ทำงานไม่มีโทษ ได้ขันติ
เป็นอาวุธอย่างดี พาลีพ่าย

;;;;;;;;;;

วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2566

ทางชีวิต (น่าคิด มีสองแพร่ง) ชีวิต คือการเดินทาง ต้องระวัง ด้วยทางมีสองแพร่ง ทางต่ำทางสูง ทางบาปทางบุญ แบ่ง ทางโลกกับทางธรรม แข่ง แย่งครอง

 ทางชีวิต
(น่าคิด มีสองแพร่ง)

ชีวิต คือการเดินทาง
ต้องระวัง ด้วยทางมีสองแพร่ง
ทางต่ำทางสูง ทางบาปทางบุญ แบ่ง
ทางโลกกับทางธรรม แข่ง แบ่งชีวิต
ทางโลก ทางตัณหา ทางตระหนี่
ทางอัปปรี ทางเสื่อม กฎไตรลักษณ์
มีกฎแห่งกรรม ให้ตระหนัก
มีกิเลสกรรมวิบาก วัฏฏจักรมาร
ไปทางต่ำ ส่ำสัตว์ส่วนใหญ่
ไหลตามกันไป เหมือนน้ำ
เปรียบได้ขนวัว มากล้ำ
ไปทางสูง น่าขำ เขาวัวสองเขา
สรรพสัตว์ทั้งหลาย ล้วนหมู่ญาติ
เคยร่วมชาติ ร่วมชีวิต
เคยสัมพันธ์กันมา ทุกชนิด
กรรมตามติด จึงต่างคนต่างไป
สงเคราะห์ญาติ ขาดไม่ได้
จะได้คุณธรรมใหญ่ บารมี
เป็นกัลยาณมิตร กิจกรณีย์
สุดท้ายจะได้ดี ทำงานไม่มีโทษ
ด้วยเมตตาบารมี พาลีพ่าย
อานุภาพ ปราบมารร้าย อุเบกขา
โลกเหมือนสวรรค์ หรรษา
นำพามหาชน แสวงบุญ
เมตตา เป็น บารมี
คนสุดดี จะมีเมตตา
มีกรณียกิจ ทานศีลภาวนา
เจริญสติ สัมปชัญญะ เป็นชีวิต

;;;;;;;;;;

วันจันทร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2566

ลาภสักการะ (ฆ่าคนชั่ว) ลาภสักการะ ฆ่าคนชั่ว กรรมน่ากลัว ยังมาไม่ถึง เหมือนระเบิดเวลา น่าสะพรึง เมื่อมาถึง ตะลึง หมดโอกาศ

 ลาภสักการะ
(ฆ่าคนชั่ว)

ลาภสักการะ ฆ่าคนชั่ว
กรรมน่ากลัว ยังมาไม่ถึง
เหมือนระเบิดเวลา น่าสะพรึง
เมื่อมาถึง ตะลึง หมดโอกาศ

เป็นหนังม้วนเดิม ฉายแล้วฉาย
ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เป็น
อนันตชาติ พระอริยะท่านเห็น
ช่างกรรมเวร เป็นเหมือนเดิม


 ลาภสักการะ ได้มาง่ายๆ
เพียงเซ็นต์ให้ ก็ได้แล้ว
กินตามน้ำ ยิ่งง่าย ยิ่งกว่าแก้ว
ไม่ต้องนึก ก็ได้แล้ว มาเอง

ทรัพย์ไม่บริสุทธิ์ ประดุจของเหม็น
แต่คนพาล เป็น เช่นแมลงวัน
ชอบนัก ของฟรี หัวเราะลั่น
ไม่คิดฝัน ว่าลาภนั้น พาลงนรก

ท่านจึงว่า คนโง่ ไร้ปัญญา
ได้โภคทรัพย์มา ฆ่าตน
ขาดสติ จึงประมาทล้น
 เกิดมาเป็นคน ไม่ใช่มนุษย์

ผู้มีสติ มีปัญญารักษาตน
เป็นบัณฑิต ฝึกฝน ฝึกใจ
มุ่งมั่น ทำพระนิพพานแจ้ง ให้ได้
สร้างบารมี เรื่อยไป กรณียกิจ

เพื่อหมู่ญาติ ที่ประมาทชีวิต
พามุ่งสู่ทิศ ที่สว่าง
ขาดกัลยาณมิตร ไม่ได้ ไม่มีทาง
 ต้องรีบสร้าง ตามหลังหลวงปู่ฯ

;;;;;;;;;;

วันพุธที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

สงเคราะห์ญาติ (สร้างชาติสร้างบารมี) บุคคลควรเตือนกัน สอนกัน ชี้หนทางสวรรค์ นิพพาน แต่ยากนัก จักหาผู้อย่างนั้น ผู้เตือนนั้น ต้องมีบารมี

 สงเคราะห์ญาติ
(สร้างชาติสร้างบารมี)

 
บุคคลควรเตือนกัน สอนกัน
ชี้หนทางสวรรค์ นิพพาน
แต่ยากนัก จักหาผู้อย่างนั้น
ผู้เตือนนั้น ต้องมีบารมี

 ผู้มีบารมี น่าเคารพเชื่อฟัง
มีบุคคลิก เหมือนดั่งเทวดา
รักษาความดีต่อเนื่อง มานานช้า
จึงไม่ธรรมดา น่ากราบน่าไหว้
บุคคล ควรกั้น คนไม่ดีให้กัน
โดยเฉพาะลูกหลาน ในบ้านเรา
รวมทั้งสิ่ง ที่มามอมเมา
คนเขลา ปล่อยบุตรหลาน ร่านโลกีย์
แสวงบุญสร้างบารมี นี้จำเป็น
สงเคราะห์ญาติที่เห็น และโลก
คนดี พาพ้นทุกข์โศก
การทำความดี เพื่อโลก และตน
ช่วยคน ก็คือช่วยตนนั่นเอง
อานุภาพยิ่งเปล่ง มารเกรงกลัว
 ช่วยคนให้เป็นคนดี ทิ้งความชั่ว
เพิ่มบารมีให้กับตัว เป็นชีวิต
ไม่คบคนพาล นั้น มหามงคล
ชีวิตปี้ป่น ด้วยคบคนพาล
สุดอัปมงคล คนอย่างนั้น
หนีคนพาล พาลูกหลานเข้าวัด

 ทุกคนย่อมมี ทั้งเพื่อนดีและไม่ดี
จะหนีเพื่อนไม่ดี ให้ทำดี มุ่งมั่น
เข้าวัดปฏิบัติธรรม สำคัญ
ตั้งใจมั่น หมั่นแสวงบุญฯ

;;;;;;;;;; 

วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2565

สงเคราะห์ญาติ (เข้าวัดสม่ำเสมอ) คนทั้งหลาย ไม่สดุ้งภัย วัฏฏสงสาร สร้างบารมีเท่านั้น จึงพ้นมันได้ จะช่วยหมู่ญาติ ต้องได้อานุภาพ บารมีใหญ่ เข้าวัดปฏิบัติธรรม..ให้ได้ สงเคราะห์ญาติ

 สงเคราะห์ญาติ
(เข้าวัดสม่ำเสมอ)

คนทั่วไป สนใจแต่การทำมาหากิน
เวลาทั้งสิ้น..หาทรัพย์ ดับความอยาก
เลี้ยงกายดับความหิวได้ แต่แปลกนัก
  ไม่อาจจัก ดับความอยาก ลงได้

กายอิ่มด้วยอาหาร แต่ใจนั้นยังโหย
ยังอิดโรย โอดโอย โหยไห้
ด้วยไม่สมหวัง สิ่งต่างๆรอบกาย
มีความเบื่อหน่าย ซึมเซ็ง กลัดกลุ้ม

 ใจคล้ายกับไฟ ที่ไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ
กามคุณเป็นเหยื่อ..ของใจ ที่ไม่เคยอิ่ม
ปัญญาดับ ถึงกับ หมดรอยยิ้ม
ใจเป็นสนิม ยิ้มไม่ได้ ไร้เมตตา

กามคุณ เป็นเชื้อไฟ ราคะ
ใส่แรกๆ เหมือนจะ ดับไฟได้
แต่ต่อมากลับ ลุกโพลง ขึ้นใหญ่
ไฟราคะ ดับไม่ได้ ด้วยกามคุณ

กามคุณ คือความเพลิน ให้เดินตาม
ใจวาบหวาน เดินตาม ด้วยความอยาก
สนุกสนาน ร่าเริง บันเทิงนัก
 อยาก..เหมือนหยุด กลับผุดยิ่งกว่าเดิม

ใจคล้ายกระหาย อยากได้น้ำเย็น
แต่กลายเป็น น้ำทะเลเค็ม
ดื่มได้ แต่ไม่ดับกระหาย กลับยิ่งเข้ม
น้ำเย็น..นั้นใช่ ก็คือบุญใสนั่นเอง

คนทั้งหลาย ไม่สดุ้งภัย วัฏฏสงสาร
สร้างบารมีเท่านั้น จึงพ้นมันได้
จะช่วยหมู่ญาติ ไม่ขาด บารมีใหญ่
เข้าวัดจึงใช่ ได้สงเคราะห์ญาติ

;;;;;;;;;;