ชนะตน
(ชนะโลก)
;;;;;;;;;;
ชนะตน
(ชนะโลก)
;;;;;;;;;;
ตนแท้
(ได้แก่บุญ)
ตนเทียว เป็นคติของตน
อย่าสับสน ไปทางบาปหยาบช้า
ลาภยศสรรเสริญสุข ทางโลกา
ไม่นานช้า ก็จะจากเราไป
ตนแล เป็นที่รักยิ่ง
ไม่ยอมทิ้ง ติดตามเรา เหมือนเงาตามตัว
บุญให้สุขสมปราถนา หายเมามัว
ส่วนบาปชั่ว เป็นศัตรูล้างผลาญ
ความรัก เสมอด้วยตน ไม่มี
เหมือนมารดาที่ มีรักแท้ ให้แก่บุตร
ยอมตาย ป้องกันภัยให้ สุดสุด
บุญเป็นประดุจ มารดา
ตนทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง
เก่งแสนเก่ง แค่ไหน หนีไปไม่พ้น
ไม่มีที่หลบบาป ยกเว้นภายในตน
เพียงเป็นคน..มีสติ ก็หนีบาปได้
ตนไม่ทำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง
แม้เก่งแสนเก่ง ก็ทำแทนไม่ได้
บุญบาป เป็นของเฉพาะตน ไม่ทั่วไป
ใครทำใครได้ ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว
คนส่วนมาก รู้จักแต่ประโยชน์ตน
ด้วยกิเลสตัณหาข้น จึงเป็นคนไม่สะอาด
ไม่รู้จักแสวงบุญสร้างบารมี เข้าวัด
ทำพระนิพพานให้แจ้ง ไม่ขาด กรณียกิจ
;;;;;;;;;;
ตนเป็นที่พึ่งของตน
(คนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์)
พระสัมมาฯ ตรัสว่า ตนเป็นที่พึ่ง
แต่คน ก็ยังขอถึง สิ่งศักดิ์สิทธิ์
อันคล้าย พระอาทิตย์
ส่องรัศมีอยู่เป็นนิจ ไม่ว่างเว้น
การพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นกิจของเรา
สำคัญที่เจ้า เอาแต่ร้องขอ
เหมือนคนตกน้ำ ได้แต่ทำมืองอ
ขอแล้วขอ ไม่ยอมจับเชือก
ตนเป็นที่พึ่งของตน กิจที่คนขอพึงทำ
เลิศล้ำ ฝึกตน อดทนอดกลั้น
ตนเป็นที่พึ่งของตน ที่แท้นั้น
อย่าหลงมัน มีก็สักแต่มี สิ่งภายนอก
การพึ่งตน คนมีภาชนะดี รองน้ำฝน
ดีล้น เป็นภาชนะ ปากกว้าง
บำเพ็ญทานบารมี สุดกำลัง
ยิ่งให้ก็ยิ่งกว้าง อย่างแม่น้ำ
มีภาชนะปากกว้าง ยังไม่พอ
ต่อด้วย ไม่รั่วไม่ร้าว คงทนสะอาด
นั่นคือ ฝึกตนมีศีล ไม่ขาด
มีมารยาท หยดย้อย สอยใจคน
มีภาชนะดี อย่างนี้ ก็ยังม่พอ
ยังมีต่อ คือ ตั้งหงาย ไว้นิ่งๆ
นั่นคือภาวนาเจริญสติ ได้ปีติจริงๆ
สุขอย่างยิ่ง เกิดศรัทธา ปสาทะ
การเจริญสตินี้เลิศ เกิดปัญญา
ใจไม่มืดหนา เห็นทางเจริญ
เป็นสัมมาทิฏฐิ อดกลั้น ความเพลิน
จึงได้เดินทางถูก ทานศีลภาวนา
;;;;;;;;;;