แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ธรรมกาย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ธรรมกาย แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2566

พระธรรมกาย (กายสุดท้ายเข้าพระนิพพาน) บรรดาทางทั้งหลาย ทางสายกลาง ไม่มีตัณหา ให้สุขสมหวัง มรรคา ทางปัญญา รักษาสติ

 พระธรรมกาย
(กายสุดท้ายเข้าพระนิพพาน)

บรรดาทางทั้งหลาย
ทางสายกลาง ไม่มีตัณหา 
 ให้สุขสมหวัง มรรคา
ทางปัญญา รักษาสติ

ทานศีลภาวนา ทางสายกลาง
ทางธรรม ทางบุญ ทางสละ
 มีองค์แปด ทางอริยะ
 ไม่ธรรมดา ประเสริฐสุด 

บรรดาสัจจะทั้งหลาย
รู้อริยสัจ ๔ ใช่ ประเสริฐสุด
 มีศรัทธา เหนือมนุษย์
เชื่อมั่นสุดสุด ในบุญ

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
เห็นทุกข์สมุทัย ประจัก ในกาย
อริยสัจสี่ เห็นแจ้ง ไม่สงสัย
นิโรธะ หยุดใจได้ เห็นมรรค
บรรดาธรรม ทั้งหลายทั้งสิ้น
วิราคธรรม เป็นปิ่น ประเสริฐสุด
 อมตะพระนิพพาน ที่เยี่ยมยุทธ
สิ้นสุด กิเลสตัณหา อุปาทาน
พระนิพพาน เป็นที่อยู่
ของผู้..หมดกิเลส ตัณหา
เป็นพระธรรมกาย ลักษณะ
งามนักหนา ลักษณะมหาบุรุษ 
บรรดา..สัตว์สองเท้า
พระพุทธเจ้า มีจักษุ ประเสริฐสุด
รู้แจ้ง เกินเทวาและมนุษย์
อานุภาพ ไม่สิ้นสุด อจินไตย

;;;;;;;;;;

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

รักหมู่ญาติ (ต้องพาเข้าวัดขจัดตัณหา) :: ออกจากตัณหา ยากนักหนา เกินบรรยาย อาจพูดได้ ว่ายาก ยิ่งกว่ายาก แต่ต้องละให้ได้ ถ้าไม่ได้ จะลำบาก ชีวิตจมปลัก ในอบาย

รักหมู่ญาติ
(ต้องพาเข้าวัดขจัดตัณหา)


ออกจากตัณหา ยากนักหนา เกินบรรยาย
อาจพูดได้ ว่ายาก ยิ่งกว่ายาก
แต่ต้องละให้ได้ ถ้าไม่ได้ ก็จะลำบาก
ชีวิตจมปลัก ในอบาย

บัณฑิตผู้มีปัญญา จึงต้องละหมู่ญาติ
ด้วยไม่ประมาท จึงเข้าวัด บำเพ็ญตะบะ
ออกบวช บำเพ็ญวิปัสสนาธุระ
เพื่อสงเคราะห์ ญาติกา และมหาชน

การบวช ไม่เหมือนที่ใครๆเข้าใจ
ไม่ใช่ตัดช่องน้อยไป แต่พอตัว
 แต่สงเคราะห์หมู่ญาติ ที่เป็นทาส เมามัว
 ทำตัว..ให้เป็นที่ศรัทธา แล้วพาเดินทางดี

เหมือนช่วยคน ให้พ้น ปลักโคลนดูด
ดีสุด คือยื่นไม้ ไปให้ถึง
ศรัทธา เหมือนไม้ ให้เป็นที่พึ่ง
แล้วจึงดึง ขึ้นมา จากตัณหาอุปาทาน

ขจัดตัณหาในตนได้ ใช่ คนกตัญญู
คือเป็นผู้ รักหมู่ญาติและสังคม
เป็นที่รวมศรัทธา พามหาชน พ้นระทม
พ้นโคลนตม ปลักตัณหา

ละตัณหาได้ ไม่ขาดเทวดาดูแล
ตามแหนแห่ ดูแล ให้สมประสงค์
เป็นธรรมชาติ น่าประหลาด คนงง
ดังนั้นผู้สูงส่ง มีปัญญา ละตัณหา เป็นชีวิต

ละตัณหายากหลาย แม้เหาะได้ ยังละไม่ตก
เหมือนเทวทัต ยังลงนรก อยู่
เลย
ยังหลงโลก ลาภยศ สรรเสริญ เฉย
จึงประมาทไม่ได้เลย ชีวิต
 บรรลุโสดาบัน จึงจะรู้ทัน ตัณหา
เข้าธรรมกายา พระ โสดาบัน
สรรพสัตว์ ไม่อาจหนี วัฏฏสงสาร
รู้ไม่ทัน ตัณหา ทยานอยาก
คุณวิเศษทั้งหลาย ในที่อื่น
มีดาดดื่น อย่าตื่นตกใจ
เก่งนักหนา แต่สู้ตัณหา ไม่ได้
ธรรมกาย เท่านั้นใชร้ สู้มันได้ ตัณหา

ชาวโลกเมามัว อวดตัว อวดเก่ง
อวดเบ่ง เองอ้า เป็นปลา หลงเหยื่อ
เก่งต่อเก่ง เจอกัน ฟัดกัน ไม่เหลือ
แพ้หรือชนะ เป็นเบือ ในนรก

 สรรพสัตว์ยากมาก จักหนี ตัณหา
เพียงว่า เป็นมนุษย์ ยากสุดแล้ว
 ชีวิต แทบหมดสิทธิ์ คลาดแคล้ว
เดินเป็นแถว แน่แล้ว สู่อบาย

;;;;;;;;;;

วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2565

เข้าถึงพระธรรมกาย (พ้นภัยกฎไตรลักษณ์) โลก คือที่อาศัย ตกอยู่ใต้ กฎไตรลักษณ์ ให้ตระหนัก..ถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่อยู่ค้ำฟ้า เป็นภาพลวงตา อย่าไปยึดติด

เข้าถึงพระธรรมกาย
(พ้นภัยกฎไตรลักษณ์)


 โลก คือที่อาศัย ตกอยู่ใต้ กฎไตรลักษณ์
ให้ตระหนัก..ถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่อยู่ค้ำฟ้า
เป็นภาพลวงตา อย่าไปยึดติด

 ท่านจัดโลกเอาไว้ ให้มีสาม
มีนาม โอกาสโลก สัตวโลก และสังขารโลก
เป็นที่อาศัยของสรรพสัตว์ คือโอกาศโลก 
และสัตวโลก เป็นที่อาศัย ของใจหรือสังขาร

สุดท้าย สังขารโลกคือใจ ที่ไม่อยู่ในตน
ก็ยังไม่พ้น ตกอยู่ใน กฎไตรลักษณ์
เป็นที่อาศัย ของบุญกับบาป
เมื่อหยุดคิดหยุดอยาก ใจจักเขามาอยู่ในตน

ใจอยู่ในตน เป็นนิจจัง สุขัง และอัตตา
แต่ถ้าอยู่นอกตนนั่นหนา เป็นอนิจจังฯ
บุญกับบาป ชิงชัย ไม่หยุดยั้ง
ส่วนเหตุการณ์ภายนอก เป็นอย่าง สงครามตัวแทน

เมื่อเราประมาท บาปได้โอกาศชนะ ก็จะ ชักใย
ให้ใจออกนอกกาย ไปท่องเที่ยว
เสพตัณหากามคุณ วุ่ยวายทีเดียว
ท่องเที่ยวอยู่ในโลก ที่ชุ่มโชกกฎไตรลักษณ์

ถ้าบุญชนะ ใจก็จะ อยู่ในกระแสบุญ
รู้สึกอบอุ่น เหมือนนอนหนุนตักแม่ อยู่ในกาย
พ้นจากกฎไตรลักษณ์ สุขสมสะบาย
มีกินมีใช้ได้ง่ายๆ คล้ายเทวดาเดินดิน

คนทั้งหลาย ใจจะไม่อยู่กับตัว
ด้วยกิเลสชั่ว ห่อหุ้มใจ ไม่ให้มีสติ
ใจอยู่นอกตัว เมามัวโลกีย์
ยากเหลือที่ จะมีสติ เก็บใจไว้ในตน

กายเป็นที่อยู่ของใจ แต่ใจไม่ใคร่จะอยู่
กิเลสจึงฟู ควบคุมใจ ให้คิดชั่ว
ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว จึงพูดชั่วทำชั่ว
ได้บาปไม่รู้ตัว ยังยิ้มหัวอยู่ได้

มีวิบากติดตามมา วนเวียนไป ในวัฏฏสงสาร
อนันตกาล ยาวนานนัก
ซึ่งก็คือโคตรคุกประหาร สังสารวัฎฎ์
พระเตมีย์ ท่านประจัก กลัวนัก จึงแกล้งเป็นใบ้

ใจสำคัญหลาย ตัวการใหญ่ จะให้ทุกข์หรือสุข
ถ้ารักสนุก ก็จะทุกข์ถนัด ในอบาย
บัณฑิตผู้มีปัญญา รู้เท่าทันชีวิต จึงได้
ฝึกสติสัมปชัญญะ ควบคุมใจ เอาไว้ในตัว

สติสัมปชัญญะ ท่านจึงว่า เป็นธรรมะคุ้มครองโลก
ดับโศก ดับทุกข์ ให้สรรพสัตว์
ดังนั้น การฝึกสมาธิ เจริญสติ จึงเป็นชีวาต
เข้าสู่เส้นทางธรรม ที่สุขสะอาด ปราศภัยมาร

บุญบาปในใจของมนุษย์ จึงสุดที่จะสำคัญ
ต่อโลกสาม จักรวาล อนัตจักรวาล ดินฟ้าอากาศ
ทุกเหตุการณ์ ทั้งโรคภัย ภัยสงคราม ภัยธรรมชาติ
ปรากฎการณ์ประหลาด ที่ปรากฎขึ้น
สรรพสิ่ง สรรพสัตว์ และสรรพสังขาร
ทุกอย่างนั้น ล้วนตกอยู่ใน กฎไตรลักษณ์
ยกเว้นไว้ พระธรรมกาย พระรัตนตรัยในตัว ที่คนไม่รู้จัก
หมู่มารปิดบังยิ่งนัก กลัวรู้

;;;;;;;;;;

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2565

พลิกผันชีวิต (เมื่อมีกัลยาณมิตรเท่านั้น) ชีวิตมนุษย์แสนสั้น เมื่อเทียบกัน กับหลังตาย เหมือนกับประกายไฟ แว๊บหาย ในห้วงจักรวาลใหญ่ มืดสนิท

พลิกผันชีวิต
(เมื่อมีกัลยาณมิตรเท่านั้น)

ชีวิตมนุษย์ สุดแสนสั้น
เมื่อเทียบกัน กับหลังตาย 
 เหมือนกับประกายไฟ แว๊บหายไป
 ในห้วงจักรวาลใหญ่ ที่มืดสนิท
 หรือฟองน้ำฝน ฟองหนึ่ง 
ซึ่ง หล่นจากฟ้า จากฝนห่าใหญ่
ตกเต็มผืนฟ้าจักรวาล ไม่เว้นว่างไว้
ฟองเดียวแว๊บหาย เร็วไว อย่างนั้น
จงตั้งสติ นี้ไม่ใช่ล้อเล่น
แต่เป็น จริงๆ
 สร้างบารมี กรณียกิจ เหนือทุกสิ่ง
อย่าทิ้งเวลา หลงเหยื่อกามา ของมาร
บารมีคือที่พึ่ง หนึ่งเดียว ในวัฏฏะ
นอกนั้นหนา พึ่งพาไม่ได้
เป็นอนัตตา เสื่อม สูญสลาย
เป็นภาพมายา คล้าย พยับแดด
บารมี คือวาสนา หรือว่านิสัยดี
เราเกิดมานี้ มาฝึกตน เป็นคนบัณฑิต
ตนเป็นที่พึ่งของตน ทำตนให้บริสุทธิ์สุจริต
สิ่งดีดี ทุกชนิด จะตามติดเราเอง
คนดีจะคบหา รวมทั้งกัลยาณมิตร
ทั่วทุกทิศ จะมีมิ่งมิตร คอยช่วยเหลือ
ชีวิตง่ายๆ ทำใจให้ใส สร้างบารมีไป ให้เชื่อ
อย่าเพิ่งเบื่อ ให้ศึกษา อย่าเหมือนไก่กาที่เห็นพลอย

ชีวิต เวียนว่าย ในวัฏฏะ
จนกว่า พบพระฯ กัลยาณมิตร
บุญวาสนา มาพอดี จุดติด
กัลยาณมิตร ให้ชีวิต พลิกผัน

 ;;;;;;;;;;

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ตายแต่ไม่ตาย (ไปรับกรรมวิบาก) การตาย คือการไปรับกรรมวิบาก เปลี่ยนสภาพ ให้เหมาะกับ บุญบาปในตน

ตายแต่ไม่ตาย
(ไปรับกรรมวิบาก)

การตาย คือการไปรับกรรมวิบาก
เปลี่ยนสภาพ ให้เหมาะกับ บุญบาปในตน
ไปสวรรค์ ไปอบาย หรือไปภูมิมนุษย์ ขึ้นกับผล
 การกระทำของตน ทางกายวาจาใจ ในอดีต
คิดแล้วแปลก ที่คนทั้งหลาย ไม่สนใจการตาย
ไม่กลัวอบาย กินนอนสะบาย เมามายโลกีย์
กามคุณนี่ร้ายนัก ทำคนให้จมปลัก ขาดสติ
ปล่อยวางชีวี ประมาทเหลือที่ น่าเวทนา
ไม่รู้สึกไม่รู้สา แถมยังต่อต้านพระ อีกต่างหาก
มิจฉาทิฏฐินี่ร้ายนัก เห็นกงจักร เป็นดอกบัว
เห็นชั่วเป็นดี เห็นดีเป็นชั่ว
สรรพสัตว์ยังเล่นหัว ไม่รู้ตัว ต้องไปอบาย
เหมือนอีหอยหน้าประตูวัด พระเชตวัน
ในสมัยพุทธกาล  ทำกิริยาอาการ ไม่เคารพพระ
พระโมคคัลลานะ ทนไม่ได้ ขันอาสา
เหาะให้ดูต่อหน้า ก็ยังว่าพระบ้าอยู่นั่นเอง
มนุษย์ทั้งหลาย ก็คล้ายๆหนอน
อยู่ในส้วม กินแล้วนอน สะบ๊ายสะบาย
เพื่อนเทวดา อุตส่าห์ลงมาบอก จะพาไป
หนอนหัวเราะใส่ ว่าเราสะบายอยู่แล้ว

อัตตัญญุตา การรู้สภาวะของตน จึงสำคัญนัก

คนดีแจ้งประจัก จึงรัก การสร้างบารมี
กระตือลือล้น แสวงบุญเต็มที่
รู้ดี ว่าตนนี้ มีบุญน้อย
เป็นคนดีได้ จำไว้ ต้องมีกัลยาณมิตร
นำพามุ่งสู่ทิศ ที่เจริญ ทางสายกลาง
ทางอริยะ สุขสมปราถนา พร้อมพรั่ง
ทางสว่าง ทางมรรคผลนิพพาน
เป็นคนดีได้ ไม่มีความประมาทในชีวิต
ทุ่มเทสุดจิต นั่งสมาธิ เจริญสติภาวนา
ทำพระนิพพานให้แจ้ง สู่แดนอมตะ
แดนบรมสุขา หมดทุกข์ สุขอนันตกาล
คนเรา เกิดแล้วตายๆ  แต่ใจเรายังอยู่
อาจดูดู คล้ายยังกะ  งูลอกคราบ
หรือว่าเราเป็นอมตะ ก็ไม่ทราบ
 พระนาคเสน อรหันต์ ท่านรับ ว่าใช่หรือไม่ใช่ก็ได้
 เป็นตัวเรา ที่ตัวเก่า เปลี่ยนไป
เช่นเปลวไฟ เปลี่ยนไป ทุกขณะ
หรือเหมือนนมสด กลายเป็น นมเปรี้ยว นั่นหละ
นมเปรี้ยว เปลี่ยนมา เป็นนมข้น
 เปลี่ยนอย่างไร หนีนม ไม่พ้น
 นมเปลี้ยวนมข้น จากต้น นมสด
แต่นมทั้งสอง ต้องไม่ใช่ นมสด
เปลี่ยนไปหมด เป็น นมใหม่
 ภาษาพระ ไม่เรียกว่า อมตะ
แต่เรียกว่า สันตติ สืบต่อ
อมตะ คงที่ มิมีเปลี่ยน เพราะ
พ้นกฎไตรลักษณ์ นั่นหนอ พระนิพพาน
 อมตะ นั่นหนา เป็นอัตตา 
 สันตติ เป็นอนัตตา อยู่ใต้กฎไตรลักษณ์
มีเพียง ธรรมกายา เป็นอัตตา พ้นกฎหลัก
 พ้นกฎไตรลักษณ์ ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน

;;;;;;;;;;