วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ปัญญา (คือเรด้าชีวิต) พึงป้องกันภัย ที่ยังมาไม่ถึง ปัญญาจึง เป็นที่พึ่ง ประหนึ่งเรด้า อุปสรรคปัญหา ที่จะเกิด รู้ล่วงหน้า หาทางป้องกันไว้ซะ ก็จะพ้นภัย

 ปัญญา
(คือเรด้าชีวิต)


พึงป้องกันภัย ที่ยังมาไม่ถึง
ปัญญาจึง เป็นที่พึ่ง ประหนึ่งเรด้า
อุปสรรคปัญหา ที่จะเกิด รู้ล่วงหน้า
หาทางป้องกันไว้ซะ ก็จะพ้นภัย

ปัญญา เป็นยอดคุณธรรม นำชีวิต
ปุถุชน ไม่รู้สักนิด คิดแต่จะหาเงิน
มีปัญญานำหน้า เกิดฉันทะ ทำงานเพลิน
ทำงานได้เงิน เป็นทรัพย์ ดับตัณหา

ทำงานด้วยตัณหา เงินมากับตระหนี่
เป็น
เงินโลกีย์ ไม่อาจหนีทุกข์
ใจกระวนกระวาย ไม่เป็นสุข
จึงหันไปพึ่ง ความสนุก..สนาน

เงินไม่ใช่ทรัพย์ สำหรับนำความชื่นใจ
เพียงมีกินมีใช้ แต่ใจไม่สุขสงบ
มีกิเลสตัณหา ที่ยังซ่อนหลบ

รบกวบใจไม่ให้สงบ จบลงด้วยเริงโลกีย์

เพลิงโลกีย์เป็นไฟ ดับได้ด้วยขันติ
ใช้โลกีย์ดับโลกีย์ ไม่ได้
ต้องมีศรัทธา ขันติจึงใช่
มีใจเลื่อมไส ในพระพุทธองค์

ด้วยเลื่อมไสศรัทธา จึงมาวัดได้
ไม่มาไม่ได้ ใจผูกพัน
เป็นบุญวาสนา เคยทำมา แต่ปางบรรพ์
รักและผูกพัน ในสงฆ์

ปัญญาและศรัทธา มาพร้อมกัน
การเข้าวัดนั้น จึงไม่ธรรมดา

ทุกข์โศกโรคภัย จะไม่ถามหา
ด้วยมีบุญญา อุปถัมภ์ค้ำชู

;;;;;;;;;;

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ลาภสักการะ (ฆ่าคนชั่วได้) ลาภสักการะ ฆ่าคนชั่วได้ ความยุติธรรม ถูกทำลาย ด้วยลาภสักการะ คนชั่วเห็นแก่ตัว ไม่เอาชาติประชา ไม่เห็นคุณศาสนา และความดีงาม

 ลาภสักการะ
(ฆ่าคนชั่วได้)


ลาภสักการะ ฆ่าคนชั่วได้
ความยุติธรรม ถูกทำลาย ด้วยลาภสักการะ
คนชั่วเห็นแก่ตัว ไม่เอาชาติประชา
ไม่เห็นคุณศาสนา และความดีงาม

คนชั่วหัวเราะร่า เมื่อบาปชั่วช้า ยังไม่ส่งผล
เหมือนปลา ลืมตน กับเหยื่อที่ปลายเบ็ด
ไก่ หลงเดินตามเหยื่อ เดี๋ยวเสร็จ
คนชั่วน้ำตาเช็ด เมื่อถึงเวลา

คนชั่วสติขาด เป็นธรรมชาติ ของปุถุชน
เป็นบุคคล ที่เต็มไปด้วย กิเลสตัณหา
 เหมือนแมลงวัน แพ้ของเหม็น นั่นหละ
หรือว่าสุนัก หมา แพ้อาจม

ผู้ชนะตัณหา ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ธรรมะต้องเชี่ยว ทำใจหยุดนิ่งได้
เกิดสุขและเมตตา คุณธรรมใหญ่
ดวงธรรมสว่างไสว อัปนาสมาธิ

คนดีไม่ประมาท มุ่งมาด ฝึกตน
เจริญสติ ฝึกฝน เป็นชีวิต
ส่วนการทำมาหากินก็ทำไป เป็นกิจ
ทำด้วยจิต มีสติ มิถอนถอย

เป็นการทำงาน ที่เรียกกัน ว่าฉันทะ
ไม่ได้ทำด้วยตัณหา หน้าเงิน
ทำด้วยความสุขเหลือเกิน
ทำเพลิน จนลืมเวลา

ลาภโลกีย์ มีประโยชน์นัก ถ้าหากมีสติ
บำเพ็ญทานบารมี นี้สำคัญ
ดังนั้น ทำพระนิพพานให้แจ้ง ต้องขยัน
เป็นกิจผูกพัน มุ่งมั่นตลอดไป

;;;;;;;;;;

ยากหลาย (ที่คนทั่วไปจะได้สติ) เมื่อเกิดความเสื่อม ทุกอย่าง จะพังทลาย เหมือนบ้านเรือนอยู่ไม่ได้ เมื่อดินทรุด บ้านตั้งอยู่ริมตลิ่ง สวยงามสุด เมื่อดินทรุด ความใสสด หมดกัน

 ยากหลาย
(ที่คนทั่วไปจะได้สติ)




เมื่อเกิดความเสื่อม ทุกอย่าง จะพังทลาย
เหมือนบ้านเรือนอยู่ไม่ได้ เมื่อดินทรุด
บ้านตั้งอยู่ริมตลิ่ง สวยงามสุด
เมื่อดินทรุด ความใสสด หมดกัน

เสื่อมเพราะประมาท ขาดสติ
เพียงใจเรานี้ ออกไป วุ่นวายภายนอก
บาปก็ได้โอกาศ เข้ารุมกัด ขอบอก
กลายเป็นวอก พระบอกเท่าใด ก็ไม่เชื่อ

ยากหลายที่ใจเรา จะอยู่ในกาย
จึงขาดไม่ได้ กัลยาณมิตร
พระผู้มีบารมี ทำให้เรามีศรัทธา สุดจิต
และคณะหมู่มิตร ประคับประคอง

การเข้าวัดปฏิบัติธรรม จึงจำเป็น
จะต้องเน้น..หนัก ถ้าอยากพ้นภัย
ถ้าไม่เข้าวัด มิอาจพ้นอันตราย
หมู่มารร้าย มากหลาย คล้ายฝูงสุนักป่า

เหมือนเราเป็นไม้น้อย ในป่าใหญ่
ช่วยกันต้านภัย จากพายุ
อยู่ได้สบาย ในเรือใหญ่ ทะเลดุ
แต่คนทุกผู้ ขออยู่ในทะเล

แม้ว่ายน้ำอยู่กลางทะเล ก็เท่นัก
ตัณหานำชัก ให้เห็น เป็นอย่างนั้น

ตอนใกล้ตาย จึงค่อยได้สติกัน
แก้อะไรไม่ทัน เป็นเหยื่อมารอบายภูมิ


กิเลสกรรมวิบาก คล้ายนัก ทะเลร้าย
เหมือนปลาทั้งหลาย ชอบว่ายอยู่ในน้ำ
ดำผุดดำว่าย วันยังค่ำ
ทะเลกิเลสกรรมฯ ทำ ส่ำสัตว์ขาดสติ

;;;;;;;;;;

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ให้รักษาสติ (ถ้าอยากมีความเจริญ) ประมาท ไม่อาจพ้น ความเสื่อม จิตไม่เลื่อม ไม่ใส ใจเร่าร้อน บาปได้โอกาศ เข้ามาสวมซ้อน เข้ามาสอน มาสั่ง ให้คิดพูดทำผิด

 ให้รักษาสติ
(ถ้าอยากมีความเจริญ)

ประมาท ไม่อาจพ้น ความเสื่อม
จิตไม่เลื่อม ไม่ใส ใจเร่าร้อน
บาปได้โอกาศ เข้ามาสวมซ้อน
เข้ามาสอน มาสั่ง ให้คิดพูดทำผิด

ความประมาท คือไม่ระมัดระวังสติ
ปล่อยให้
ใจเรานี้ หนีห่าง จากกาย
หายปีติ เกิดมีความร้อนใจ
กระวนกระวาย อยู่ไม่เป็นสุข

เรียกว่าใจตก โศกเศร้าซึมเซ็ง
เป็นเช่นนี้เอง คนทั้งหลาย
หนีไม่พ้น พาตนไปสู่อบาย
เหมือนน้ำไหล ตามกันไป ทางต่ำ

ส่วนบัณฑิตมีปัญญา รู้รักษาตน
คือเป็นคน เจริญสติ เป็นประจำ
ใส่ใจในสติ มิให้ตกต่ำ
จึงมีใจดีงาม ตามด้วยมารยาท

คนทั้งหลายประมาท ด้วยขาดศรัทธา
ไม่รู้ว่า..ชีวิต ลิขิตด้วยบาปกับบุญ
ธัมมัญญุตา บุญบาปนั้นหนา เข้ามาวุ่น
จึงเร่งลุ้น แสวงบุญ สร้างบารมี

ทำพระนิพพานให้แจ้งเต็มที่ หนีวัฏฏะ
หนีกิเลสตัณหา กฎแห่งกรรม
หนีคุกประหาร สุดอันตรายล้ำ
หนีทุกข์ซ้ำๆ..ซากๆ ในอบายภูมิ

ผู้ไม่ประมาท มีสติ มีความอดทน
รักษาตน ไม่สู้ไม่หนี ทำดีเรื่อยไป
ไม่ว่าร้าย เป็นคนยอมคน ทนเขาได้
ทำอย่างยายฯ ยอมคน ทนสู้

;;;;;;;;;;

ชนะตน (คนเหนือฟ้า) ชนะตน นั่นแหละเลิศ ประเสริฐกว่า คนธรรมดา ชอบเอาชนะคนอื่น เป็นคนยอมคน เคารพคน เทพระเริงรื่น ไม่ดาดดื่น หายาก รู้จักยอมคน

 ชนะตน
(คนเหนือฟ้า)


ชนะตน นั่นแหละเลิศ ประเสริฐกว่า
คนธรรมดา ชอบเอาชนะคนอื่น
เป็นคนยอมคน เคารพคน เทพระเริงรื่น
ไม่ดาดดื่น หายาก รู้จักยอมคน

ชนะตน คือคนชนะกิเลส
เป็นคนวิเศษ เหนือฟ้า
เป็นที่เคารพรัก ของมนุษย์ และเทวา
นำพามหาชน พ้นอบาย

ชนะกิเลสได้ ไม่ต้องเวียนว่ายวัฏฏะ
สุขสมปราถนา ย่อมมีมาทุกประการ
เดินทางบุญ ทางสมบัติ ทางพ้นมาร
ทางไปสู่พระนิพพาน อมตะ

ชนะตน คือคนชนะโลก
หมดโศก หมดเศร้า หมดเมาตัณหา
ชีวิตไร้ทุกข์ สุขสมปราถนา
สุขอุรา ทั้งตนและคนอื่น

สุขด้วยเมตตา กรุณามหาชน
เป็นสุขเปี่ยมล้น ด้วยจาคะ
 มีเพื่อให้ เหมือนแม่น้ำใหญ่ นั่นหละ
อันเป็นชีวา ของมหาชน

สุขทางโลก ชุ่มโชกด้วยตัณหา
เป็นสุขเหมือนปลา หลงเหยื่อ
เป็นเหมือนไฟ ที่ไม่อิ่มด้วยเชื้อ
กินไม่เหลือ ยิ่งกินยิ่งอยาก

ตัณหา พาสุขสมใจอยาก
จมปลัก สุดยาก จะได้สติ
เหมือนอีหอย หน้าวัด ตัวดี
แลบลิ้นปลิ้นตา เสียดสี พระ

;;;;;;;;;;

สมบัตินี้ (มีไว้ทาน) ชาวนาผู้ฉลาด จะคัดพันธุ์ข้าวเก็บไว้ ปีหน้าฟ้าใหม่ จะได้ปลูก ส่วนชาวนาผู้โง่เขลา เจ่าจุก ไม่เก็บพันธุ์ไว้ปลูก เอาข้าวไปขาย

สมบัตินี้
(มีไว้ทาน)


ชาวนาผู้ฉลาด จะคัดพันธุ์ข้าวเก็บไว้
ปีหน้าฟ้าใหม่ จะได้ปลูก
ส่วนชาวนาผู้โง่เขลา เจ่าจุก
ไม่เก็บพันธุ์ไว้ปลูก เอาข้าวไปขาย

ผู้มีทรัพย์ เหมือนกับชาวนา
ผู้มีปัญญา นำทรัพย์มา ทำบุญ
คนส่วนใหญ่ กินใช้ ลงทุน
ไม่รู้จักแสวงบุญ สร้างบารมี

เมื่อไม่ให้ ไม่ทาน คือท่านไม่ปลูก
สมบัติจะออกลูก เป็นวิบัติ
หน้าตาเหมือนกัน ชัด
แต่เป็นวิบัติ กัดเจ้าของ

เมื่อให้หรือทาน ผู้รับนั้น เหมือนกันกับนา
ผู้รับมีวาสนา เป็นนาที่ดี
ดังนั้น การให้การทานนั้น คิดให้ถ้วนถี่
เลือกนาที่ดี อุดมสมบูรณ์

ทำทานกับพระ นั่นหละ เนื้อนาบุญ
คนไม่คุ้น กับสงฆ์ สังฆทาน
เป็นเนื้อนายอดเยี่ยม ไม่มีใดเทียมทัน
การเข้าวัดทำสังฆทาน อุดมการณ์ชีวิต

การบำเพ็ญทาน อุดมการณ์ชีวิต
แสวงบุญสร้างบารมี สุดขีด ชีวิตมีน้อย
ได้ชื่อว่ามีปัญญา มีวาสนาคอย
มีสมบัติใช้สอย ไม่ขาด

มีสมบัติแล้วไม่ให้ ไม่ทาน
ความตระหนี่บาน อยู่ในใจ
เหมือนเหล็กมีสนิม กัดเหล็ก สลาย
ทุรนทุราย ไม่มีความสุข

;;;;;;;;;;

อยุติธรรมเลวสุด (มนุษย์อเวจี) ควรยกย่อง คนที่ควรยกย่อง แม้ไม่ใช่พี่ ไม่ใช่น้อง ก็ตาม ยกย่องคนผิด อยุติธรรม เป็นบาปกรรมสุดสุด มนุษย์อเวจี

 อยุติธรรมเลวสุด
(มนุษย์อเวจี)

ควรยกย่อง คนที่ควรยกย่อง
แม้ไม่ใช่พี่ ไม่ใช่น้อง ก็ตาม
ยกย่องคนผิด อยุติธรรม
เป็นบาปกรรมสุดสุด มนุษย์อเวจี

ความยุติธรรม เป็นคุณธรรมล้ำเลิศ
 ของผู้ประเสริฐ ในมวลหมู่มนุษย์
 แต่ยากจะรักษา ต้องสละชีวา ที่รักสุด
สร้างบารมีอุตลุด ปราบมาร

อุเบกขามี ความยุติธรรมจึงมา
มีเมตตาเสมอหน้า แม้ว่าเป็นศัตรู
ไม่สู้ไม่หนี ทำดีเรื่อยไป ต่อทุกผู้
ศัตรู..กลายเป็นมิตร ร่วมคิดร่วมสร้าง

อุเบกขา กิเลสตัณหา มาไม่ถึง
อานุภาพจึง ไม่มีประมาณ
รู้เห็น กว้างขวาง ไม่มีอะไรขวางกั้น
นี่หละท่าน เป้าหมายชีวิต

ใจนิ่งใจหยุด หยุดแล้วหยุด รุดหน้าไป
ผ่านศูนย์กลางกาย ตามทางสายกลาง 
กายในกาย จิตในจิต ธรรมในธรรม
พระธรรมกาย ไสวสว่างล้ำ ท่านรออยู่

นี้คือ เส้นทางชีวิต ไปสู่ทิศอมตะ
เป็นอัตตา ตัวตนของเรา
นิจจัง สุขัง อัตตา ตัวเก่า
ที่เรา หลงลืมไปนาน

หลงไปคบกับกิเลส จึงเกิดเหตุมากมาย
มารร้าย ทำลายยุติธรรมสิ้น
ภัยทั้งหลาย กระหน่ำ เต็มแผ่นดิน
มหาปูชนียาจารย์ รู้สิ้น จึงลงมา

;;;;;;;;;;