วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2564

คนประเสริฐ (ล้ำเลิศปัญญา) อะไรหนอปกครองคน จึงสุขล้นพ้นทุกข์ เทวดาทูลถามองค์พระพุทธ ผู้หยั่งรู้ ปัญญานั่นหละ จะเป็นเครื่องอยู่ เว้นทุกข์ นำสุขสู่ พระผู้รู้ทรงตอบ

คนประเสริฐ
(ล้ำเลิศปัญญา)


อะไรหนอปกครองคน จึงสุขล้นพ้นทุกข์
เทวดาทูลถามองค์พระพุทธ ผู้หยั่งรู้
ปัญญานั่นหละ จะเป็นเครื่องอยู่
เว้นทุกข์ นำสุขสู่ พระผู้รู้ทรงตรัสตอบ

ปัญญา เป็นเช่นว่า ไฟส่องทาง
ผิดถูก รู้กระจ่าง ทางชีวิต
รักบุญ กลัวบาปสุดขีด
ปัจจามิตร แพ้ง่ายๆ แพ้ใจเมตตา

ปัญญา มีค่ามาก ไม่อาจจักประมาณค่า
เปรียบเป็นดังว่า แก้ว ของนรชน
หาซื้อไม่ได้ มีค่ามากมาย ยิ่งกว่าชีวิตตน
แต่ปุถุชน ไม่รู้สา ทำลายปัญญา อย่างน่าเสียดาย

ปัญญา สำคัญยิ่งกว่า..ทรัพย์
แต่ปุถุชนถึงกับ วิ่งหาทรัพย์ ดับปัญญา
คือหาทรัพย์โดยทุจริต และใช้ทรัพย์ทำชั่วช้า
ผิดศีลดื่มสุรา ทำลายปัญญาโดยตรง

ปราชญ์กล่าวว่า ชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ประเสริฐสุด
ตามทางองค์พระพุทธ สุดสูงพระนิพพาน
เป็นทางประเสริฐ ทางสมบัติ ทางพ้นมือมาร
ทางพ้นคุกประหาร สังสารวัฏฏ์

คนปัญญาทรามได้ยศ ย่อมทำลายประโยชน์ตน
ย่อมเบียดเบียนคน ทั้งตน และคนอื่น
โง่แล้วขยัน ดึงดัน หน้ารื่น
มหาชนขมขื่น ยุคผีร้าย ทำลายเมือง

ปัญญาที่ประเสริฐ จะเกิดได้นั้น
 ต้องขยัน หมั่นประกอบความเพียร
หมั่นศึกษา หมั่นภาวนา ไม่หันเหียน
ความเป็นเซียน เป็นได้ อยู่ที่ตั้งใจปฏิบัติ

คนจะบริสุทธิ์สดใส ได้ด้วยปัญญา
ขจัดกิเลสะ หมดอาสวะ ที่หมักดอง
มีจิตใจงดงาม อร่องฉ่อง
หนึ่งไม่มีสอง เทวดาเดินดิน

ชีวิตที่ประกอบด้วยปัญญา ปราชญ์กล่าวว่า ประเสริฐสุด
มีความบริสุทธิ์ กายวาจาใจ
หนีพ้นกามคุณ ไม่วุ่นทางโลก ห่างไกล
สันโดษสมถะ สุขหลาย ธรรมสุข

ผู้มีปัญญา แม้ว่าคนเดียว รู้แจ้งในภาษิต
ประเสริฐกว่าหมู่มิตร ผู้คนทั้งหลาย
โดดเด่นเป็นสง่า กว่าใครๆ
การฝึกสติ นี้ไซร้ จึงสำคัญนัก

ผู้มีปัญญา ฆราวาส ย่อมทำประโยชน์มาก แก่หมู่ชน
เป็นขวัญกำลังใจเหลือล้น คนบูชา
คนใดมีปัญญา เพียงเข้าไปสนทนา
ก็จะรู้ได้ว่า รู้สา แค่ไหน

ทางเจริญของปัญญา จงรู้ว่า คือทางชีวิต
ดังนั้นสุดขีด  จึงต้องปฏิบัติธรรม ตามธรรม
ไม่ควรประมาทในปัญญา ขอตอกย้ำ
กฎแห่งกรรม หนักหลาย ไปอบายภูมิ

การฟังธรรม ก็เลิศล้ำ เกิดปัญญา
ใครไม่ฟังนั่นหนา ท่านว่า เหมือนวัวแก่ อ้วนแต่เนื้อ
ไม่มีแก่นไม่มีสาระ น่าเวทนาเหลือ
ตายไปเป็นเบือ สู่อบาย

ผู้มีปัญญา แม้ว่าขาดทรัพย์ ก็อยู่ได้
มีความสุขใจ ไม่กลัวอะไร อยู่ได้ด้วยตน
ส่วนคนอับปัญญา ต้องพึ่งพาคน
สิ้นสมบัติ เมื่อขัดสน คนก็หนีหน้า

ผู้มีปัญญา เสียสละสุขส่วนตน อันเล็กน้อย
และทนรอคอย ความสุขอันไพบูลย์ ที่จะมา
ส่วนคนปัญญาทราม ทำตรงข้าม คือไม่เสียสละ
ด้วยเขาไม่รู้ว่า กำลังเบียดเบียนตน และคนอื่น

คนเขลาแม้มียศศักดิ์ ก็จักเป็นทาส ของผู้มีปัญญา
เมื่อเวลา มีปัญหา เซ่อซ่า ซมซาน ปานคนใช้
ต้องทำตามสั่ง ไม่สั่งก็เหมือนสั่ง ก้มหน้าทำไป
ไม่ทำไม่ได้ คล้ายทาสกรรมกร

ผู้มีปัญญา ไม่หลงไหล ในกามคุณ 
ที่ทำให้ใจหมกมุ่น ไม่รู้จักบุญคุณคน
เกิดสติสัมปชัญญะ หิริโอตัปปะ อายและกลัวเหลือทน
กลัวเหลือล้น จึงหนีพ้น เหมือนพระเตมีย์

ใจนิ่งใจหยุด เป็นที่สุด ของปัญญา
ทำลายนิวรณ์ห้า เหมือนตะวันออกมา พ้นหมู่เมฆ
การปฏิบัติธรรม เจริญภาวนา จึงเป็นเอก
ปัญญามีคุณเป็นเอนก อันจะนับจะประมาณมิได้

;;;;;;;;;;

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น