วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

โง่ใจขาด (มีสิทธิ์ฉลาดเป็นกรดได้) โง่ใจขาด กลายเป็นยอดอัจฉริยะ เอตทัคคะได้ เกิดปัญญา สว่างจ้า ด้วยกุญแจใจ ไขชีวิต

โง่ใจขาด
(มีสิทธิ์ฉลาดเป็นกรดได้)
โง่ใจขาด กลายเป็นยอดอัจฉริยะ เอตทัคคะได้
 เกิดปัญญา สว่างจ้า ด้วยกุญแจใจ ไขชีวิต
 วิชชา ขจัดมืดหนา ในจิต
นี่แหละชีวิต การบำเพ็ญจิต จึงเป็นกิจกรณีย์
 ปัญญา มีสาม เรียงตามลำดับ ดังนี้
 สุตตมยปัญญา รู้จำนี้ ท่านชี้ ได้จากการฟังการอ่าน
เป็นปัญญาชั้นต่ำ ตื้นๆเท่านั้น
เป็นความรู้ขั้นพื้นฐาน ยังใช้งานไม่ได้
 
จินตามยปัญญา ได้ปัญญาจากการคิด
คิดแล้วคิด ค้นแล้วค้น รู้จริงจน แตกฉาน
เป็นปัญญาชั้นครู และผู้เชี่ยวชาญ
แต่ก็เท่านั้น เพียงเป็นท่าน พ่อใบลานเปล่า
โยนิโสมนสิการ การตริตรอง ประคองจิต
เกิดนิมิตร แจ่มใส พอประมาณ
  ยังไม่ถึงขั้น รู้แจ้ง แทงตลอด อย่างนั้น
ที่สำคัญ เกิดศรัทธามั่น ในการเจริญภาวนา
ภาวนามยปัญญา รู้แจ้งแทงตลอด ด้วยการเจริญสติ
ฝึกสมาธิ ปฎิบัติธรรม ลึกล้ำปัญญา
พร้อมด้วย คุณธรรม ความเมตตากรุณา
สุขสมปราถนา และเป็นที่พึ่งพามหาชน 
 ภาวนามยปัญญา เข้าถึงธรรมกาย ได้ธรรมจักขุ
เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น รู้แจ้ง สว่างจ้า ด้วยวิชชา
ได้ตรัสรู้ คือทั้งรู้ทั้งเห็น อย่างแจ่มจ้า
เกิดยอดอัจฉริยะ เอตทัคคะ อย่างน่าอัศจรรย์
ธรรมจักขุ ตาวิเศษ เห็นเหตุ ไกลใกล้  
น่าตื่นใจ พระรัตนตรัย ในตัว
รู้เห็นหมดจรด รู้เห็นหมด ไปทั่ว
รู้อย่างน่ากลัว รู้จิตรู้ใจ รู้ไส้รู้พุง
โง่มากๆ ด้วยเคยดูถูกคนนัก ในอดีต
เหมือนเอาคมมีด กลีดหินเล่น
จูฬปันถก โง่นัก สุดจักเข็น
 แต่ได้เป็น เอตทัคคะ ณ บัดดล 

แม้มืดตื้อมืดมิด ยังมีสิทธิ์ เข้าถึงธรรม
เพียงเข้ากลาง ทำตาม หลักวิชา
 เส้นผมบังภูเขา วางใจเบาๆ นั่นน่ะ
นุ่มๆนิ่งๆ ค่อยๆหา กุญแจใจไขชีวิต

;;;;;;;;;;


ธรรมปฏิสันถาร (สุขสันติ์ชีวิต) ปฏิสันถาร งานปฏิสัมพันธ์ สำคัญนัก เกิดจาก ความเคารพรัก ที่ออกจากใจ สังคม ศาสนา หมู่คณะ และชีวา ปลอดภัย

ธรรมปฏิสันถาร
(สุขสันติ์ชีวิต)
ปฏิสันถาร งานปฏิสัมพันธ์ สำคัญนัก
   เกิดจาก ความเคารพรัก ที่ออกจากใจ
สังคม ศาสนา หมู่คณะ และชีวา ปลอดภัย
สามัคคี คือพลังยิ่งใหญ่ ของความสำเร็จและชัยชนะ
ที่ใดไม่เคารพปฏิสันถาร ความร้าวฉาน จะมี
ครอบครัวดี ญาติพลี จึงขาดไม่ได้
 เพื่อนดี  ควรมีในทิศทั้งหก ให้รักษาไว้
ชีวิต สะดวกสะบาย ไร้กังวล
ขาดเพื่อนแท้ ให้แก้ ปฏิสันถาร
ยกตน ข่มท่าน นั้นอย่าทำ
จิตเมตตา พูดจา ระวังคำ 
 วาจางาม ล้ำค่า วาจาสุภาษิต
ปฏิสันถาร งาน ซื้อใจ
วาจางามหยดย้อย ใช้ สอยใจคน
 มีเพื่อนร่วมคิด มิตรร่วมทุกข์..ทน
บนถนน สร้างบารมี ต้องมีเพื่อน
นกมีขน คน มีเพื่อน
อย่าลืมเลือน เพื่อนดี ต้องมีไว้
นกไร้ขน คนขาดเพื่อน บินไม่ได้
อยู่เหมือนตาย อันตรายรอบด้าน
ปฏิสันถาร สำคัญ ที่สติ
ใจนิ่ง สนิทดี ในกาย
เป็นสุข ปีติ มีเมตตาหลาย
ธรรมปฏิสันถาร ได้ใช้ ผูกใจคน
 การนั่งสมาธิ พัฒนาสติ กิจกรณีย์ของมนุษย์
ให้นิ่งให้หยุด อยู่ภายในกาย
เป็นสัมมาสมาธิ ที่จะได้พบ พระรัตนตรัย
จึงจะใช่ ธรรมปฏิสันถาร สุขสันติ์ชีวิต
 
;;;;;;;;;;

วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

สติดี (จึงจะมีความสุขความเจริญ) สติดี เพียงที่ คิดจะทำบาป ก็ถึงกับมีหิริโอตัปปะ ทั้งอายทั้งกลัวไม่กล้า เหมือนพระเตมีใบ้ จึงอดทนอดกลั้น รักษามั่น กายวาจาใจ เก็บใจไว้ภายใน ใส่ใจ ฝึกสติเจริญภาวนา

สติดี
(จึงจะมีความสุขความเจริญ)
สติดี เพียงที่ คิดจะทำบาป ก็ถึงกับมีหิริโอตัปปะ 
ทั้งอายทั้งกลัวไม่กล้า เหมือนพระเตมีใบ้
จึงอดทนอดกลั้น รักษามั่น กายวาจาใจ
เก็บใจไว้ภายใน ใส่ใจ ฝึกสติเจริญภาวนา 
บัณฑิต คือบุคคล ผู้ฝึกตน เป็นประจำ
ทุ่มเทชีวิต ทุกเช้าค่ำ ฝึกสติ เจริญภาวนา
เดินทาง ตามทางสายกลางภายใน นั่นหละ
กระทั่งบรรลุธรรมกายา พระรัตนตรัยในตัว
สติดี มีอุปการะมาก
เป็นเครื่องให้ตื่นจาก โลกโลกีย์
เป็นโลกมายา โรงละคร ย้อนอดีตก่อนกี้
นี้คือฤทธี กิเลสกรรมวิบาก สุดยากที่คนจะดูออก
สติดี รู้จักรักษาตน คนบัณฑิต
รักษาจิต เอาใจไว้ในตน
ไม่ตามใจ ไม่ตามอารมณ์ อดทน
หลุดพ้นวังวน กิเลสกรรมวิบาก วัฏฏะจักรของมาร
เข้าสู่กระแสบุญ อันอบอุ่น ของพระนิพพาน
มีปีติสุข อันโอฬาร อันใครคิดไม่ถึง
พร้อมด้วย ความเมตตากรุณา เป็นที่พึ่ง
 ประหนึ่ง..เป็น จุดเย็น ในเตาหลอม

 สติดี เหมือนมี บิดามารดา
บุพการี อุปการะ หมดทุกข์ร้อน
 ให้ความสุข เมตตา กรุณา และเอื้ออาทร
บิดามารดร เป็นพรหมของบุตร
คนสติดี มีความเจริญทุกเมื่อ
ยากจะเชื่อ แต่ก็เป็นความจริง
เพราะคนสติดี มีใจหยุดใจนิ่ง
แปลกแต่จริง บุญวาสนา จะมาเป็นสาย
คนสติดี จะมีความสุข เป็นเครื่องหมาย
ด้วยใจไม่วุ่นวาย สับสน
จะนิ่ง สุกใสสว่าง อยู่ในกลางกายตน
มีสุขท่วมท้น เป็นธรรมดา ด้วยอานุภาพบุญ
คนสติดี นี่หละ คนประเสริฐ
คือคนดีเลิศ มนุษย์และเทวาเทิดไท้ บูชา
นำพามหาชน พ้นทุกข์ภัย ในวัฏฏะ
เป็นคนยากจักหา ใครพบเห็น เป็นโชคดี

;;;;;;;;;;

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

มีสัตบุรุษ (เป็นที่สุดของมงคล) ได้ใกล้ชิดสัตบุรุษ เป็นที่สุด ของผู้ต้องการความเจริญ แม้พบพานโดยบังเอิน เพียงครั้งเดียวก็ตาม

มีสัตบุรุษ
(เป็น
ที่สุดของมงคล)


 ได้ใกล้ชิดสัตบุรุษ เป็นที่สุด ของผู้ต้องการความเจริญ
แม้พบพานโดยบังเอิน เพียงครั้งเดียวก็ตาม
ชีวิตพลิกผัน ช่างอัศจรรย์เหลือล้ำ
ส่วนอสัตบุรุษ แม้พบเป็นประจำ ไม่ทำอะไรให้ดีขึ้น

สัปปุริสสูปสังเสวะ การได้ฟังธรรมสัตบุรุษ สุดประเสริฐ
มีชีวิตบันเจิด ขึ้นได้ง่ายๆ
ส่วนอยู่ร่วมกับอสัตบุรุษ แม้อยู่ด้วยกัน จนวันตาย
ก็ยังงมงาย โง่เง่า เป็นเต่าอยู่เหมือนเดิม

ชีวิตเราเกิดมา มีหน้าที่ หาครูดีสัตบุรุษ 
โชคดีสุด ของมนุษย์ ได้เดินตามท่าน
เหมือนคุณยายฯ หรือหลวงพ่อฯ อย่างนั้น
ชีวิตของท่าน ตามหาครูอาจารย์ ก่อนอื่น

หลวงปู่ฯหลวงพ่อฯคุณยายฯ ไม่ธรรมดา
มีคุณวิเศษ ยากจักหา ท่านเป็นสัตบุรุษ
มหาชนถวายชีวิต อุทิศเพื่อท่าน กันอุตลุด
ท่านสอนคน รักษาตนให้บริสุทธิ์ เป็นที่สุดของชีวิต

ในพุทธกาลสมัย ครหทินน์ ได้อาศัยสิริคุตต์
จึงได้เข้าถึง องค์พระพุทธเจ้า
หลวงพ่อครูไม่เล็ก ได้อาศัย หลวงพ่อครูไม่ใหญ่ ของเรา
จึงได้เลิกลาวิชามาร ของเก่า
เข้าถึงคุณยายฯ


สัตบุรุษมีลักษณะ ๗ ประการ ค้นหาท่านให้พบ
แล้วน้อมนบ เข้าหา ฝากตัวเป็นศิษย์
ละทิ้งเพื่อนเก่า ชวนกินเหล้า ให้สนิท
เดินไปยังทิศ ที่สว่าง ทางสวรรค์

สัตบุรุษ มีลักษณะ ธัมมัญญุตา ข้อที่หนึ่ง
คือรู้ยิ่งถึง เรื่องโลก และชีวิต
รู้ลึกซึ้ง ถึงเรื่องความบริสุทธิ์ ความถูกต้องดีงาม ที่มารปกปิด
ใครจะคิด บุญบาปลิขิต ชีวิตให้เป็นไป

มีคนจำนวนมาก ยังมากมิจฉาทิฏฐิ
ขาดสัมมาสติ คิดว่าเป็นฝีมือของพระเจ้า
งมงาย สวดอ้อนวอน ขอพรเอา
แม้ได้มา แต่เจ้า..รู้ไหม ไม่ต่างอะไรกับปลาหลงเหยื่อ

ข้อสอง อัตถัญญุตา รู้จักว่าผล ของบุญบาป
เป็นกรรมวิบาก วัฏฏจักร ของกฎแห่งกรรม
ฉายออกมาจากใจ ปรากฎออกไป เป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน
เป็นภาพซ้ำกัน..กับอดีต อย่าคิดว่าเป็นของใหม่

เมื่อรู้ว่าเป็นภาพเก่า เราจึงต้องอดทนอดกลั้น
 ชดใช้มัน และยังได้ขันติบารมี
เรื่องร้าย กลับกลายเป็นดี
และสำคัญที่ รู้ทัน หรืออัตถัญญุตา

ข้อที่สาม อัตตัญญุตา รู้จักว่าตนเป็นอะไรบ้าง
เป็นหลายๆอย่าง 
เป็นพ่อเป็นแม่..ฯเป็นต้น
ต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ ของตน
ที่สำคัญเหลือล้น เป็นมนุษย์ หน้าที่ดีสุด จงรีบรุด เร่งสร้างบารมี

ข้อที่สี่ มัตตัญญุตา รู้จักประมาณ หรือพอดี
ซึ่งจะต้องมีปัญญาดี จึงจะพอดีได้
มีสติ หยุดใจไว้ในตัว จึงต้องใช้
หยุดภายนอกไม่ได้ ไม่ใช่สัมมาสมาธิ

หยุดใจไว้ในตัว ใจจึงสุข ถูกเมตตา
ความปราถนา..ลามก จะไม่มี
ใจรักสันโดษมักน้อย จึงค่อยมีความพอดี
ความมักมากไม่มี ความพอดีจึงเกิด

  ข้อที่ห้า กาลัญญุตา รู้จักว่า เวลาเป็นของน้อย
เวลาไม่คอย ไม่มีถอยมา
 ปรารภความเพียรเร็วไว อย่าปล่อยไป เวลา
ทำพระนิพพานให้แจ้ง เร็วๆเข้าหนา อย่าประมาท

 ข้อที่หก ปริสัญญุตา เข้ากับหมู่คณะได้
อดทนไว้ เพื่อจะได้ สร้างบารมี
เหมือนคุณยายฯ ยอมคนได้ ปัญหาจึงไม่มี
ชีวิตยอมพลี ไม่สู้ไม่หนี ทำดีเรื่อยไป

ข้อที่เจ็ด ปุคคลปโรปรัญญุตา ไม่ธรรมดา มองคนออก
เหมือนครูไม่ใหญ่ ดูคุณยายฯออก บอกว่าใช่
จึงกราบ ฝากตัวเป็นศิษย์ ติดตามไท้
วัดพระธรรมกาย ที่ยิ่งใหญ่ ด้วยฝีมือยายฯสัตบุรุษ

;;;;;;;;;;

วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ธรรมปฏิสันถาร (สุดสำคัญ ต่อการอยู่ร่วมกัน) คนดีมีปัญญา จะมีสัมมาคารวะ หรือตระหนัก สิ่งสำคัญยิ่งนัก ๗ ประการ

ธรรมปฏิสันถาร
(สุดสำคัญ ต่อการอยู่ร่วมกัน)
คนดีมีปัญญา จะมีสัมมาคารวะ หรือตระหนัก
สิ่งสำคัญยิ่งนัก ๗ ประการ
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์พระรัตนตรัย เรารู้กัน
อีกสี่อย่างนั้น คือ ไตรสิกขา สมาธิ มิประมาท และปฏิสันถาร
พระรัตนตรัย เป็นที่พึ่ง หนึ่งเดียวเท่านั้น
ในการเดินทางไกล ในวัฏฏสงสาร ที่อันตรายมาก
พระรัตนตรัย อยู่ในตน คนไม่รู้จัก
เพียงทำใจให้หยุดอยาก และรู้จัก แสวงบุญสร้างบารมี
ไตรสิกขา คือทานศีลภาวนา รู้จักบำเพ็ญ
จะไม่ทุกข์ยากเข็ญ เป็นสะเบียง เลี้ยงชีวิต
เป็นเกราะแก้วอาวุธ สุดศักดิ์สิทธิ์
เลิศฤทธิ์ มหิทธา..อานุภาพ
ฝึกสมาธิ เป็นกิจกรณีย์ ที่ขาดไม่ได้
เพื่อบรรลุธรรมอำไพ ทำพระนิพพานให้แจ้ง พ้นกฏแห่งกรรม
แหล่งบรมสุข พ้นทุกข์นิรันดร์ สุดเลิศล้ำ
เป็นอมตะ สุขดื่มด่ำ ไม่ถอนถอย
ไม่ประมาทในชีวิต ตั้งจิตไว้ในตน
อยู่ในกระแสพระนิพพาน กระตือลือล้น อดทนอดกลั้น
ไม่สู้ไม่หนี ทำความดี ตะบัน
มีศรัทธามั่น พระรัตนตรัย ในตัว
ปฏิสันถาร งานต้อนรับ ปฏิสัมพันธ์
สุดสำคัญ คือการยอมคน
เหมือนคุณยายจันทร์ ท่านกระตือลือล้น
เป็นต้นบุญต้นแบบ ยอมคน ทนคนอื่นได้
คุณยายฯ สร้างวัดพระธรรมกาย ที่ยิ่งใหญ่
คำสอนไท้ ให้เอาใจคน ยอมคนที่มา
หนักนิดเบาหน่อย ปล่อยไป ให้รักษาศรัทธา
สุดยอดรักษาศาสนา คือปฏิสันถาร
 ธรรมปฏิสันถาร ปฏิสัมพันธ์ อย่างอบอุ่น
สนับสนุน ให้มีความสุขสมบูรณ์ ความรักสามัคคี
ไม่ว่าในครัวเรือน วัด สังคม ประชาชี
ภัยใดๆ ที่มากมี หนีกระเจิง

 ;;;;;;;;;;

วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

แสวงบุญไม่ขาด (ชีวาต ไม่ขาดบุญวาสนา) บุญวาสนา จะไหลมา เมื่อเวลาทำบุญ ทำบุญเป็นสาย บุญวาสนาก็ไหลไม่ขาด วังวนแห่งกิเลสกรรมวิบาก ถูกตัด แสวงบุญไม่ขาด จึงจัด เป็นกิจกรณีย์

แสวงบุญไม่ขาด
(ชีวาต ไม่ขาดบุญวาสนา)
จงมีสติเตือนตน ให้ทนกับเหตุการณ์ภายนอก
ล้วนเป็นภาพหลอกๆ ออกมาจากจิต
เป็นภาพเก่าๆของเรา ที่ทำไว้ ในครั้งอดีต
จงอดทนอดกลั้น แต่งจิต คิดพูดทำแต่ดีดี
เราเกิดมาสร้างนิสัย หรือแต่งใจแต่งจิต
เปลี่ยนแปลง ตบแต่งชีวิต เราลิขิตเอง
ชาตินี้ จึงทนทำดี หนีกรรมเก่า เสงเครง
อย่าเพิ่งเสง..สู้ใคร อ่อนน้อมถ่อมตนเข้าไว้ เป็นดี
เป็นกรรมวิบาก นำชักให้ปรากฎ ชดใช้กรรม
ในอดีตเคยทำกรรม ต่ำทราม จึงรับกรรมชาตินี้
แม้เคยทำกรรมดีไว้ ก็อย่าได้ประมาท เมื่อสุขี
จงตั้งสติ อย่าหลงระเริง คึกคนอง ลำพองขน
เหตุการณ์ภายนอกนั้น คล้ายกัน กับเราฝันไป
ตื่นขึ้นมาก็หาย คล้ายเป็นจริงเป็นจัง
ชีวิตคนก็เปลี่ยนไปทุกวินาที คล้ายฉายหนัง
เป็นจริงเป็นจัง กระทั่ง เราหลงเชื่อ
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  กฎไตรลักษณ์
กิเลสกรรมวิบาก ชักใย อยู่เบื้องหลัง
คนที่อยู่ในกระแสกิเลส เห็นเหตุการณ์ เป็นจริงเป็นจัง
ที่แท้กำลังดูหนัง ที่ฉายไม่หยุดยั้ง ออกจากใจ
ถ้าใครรู้เท่าทัน จะปล่อยวางมัน แล้วตั้งสติ
อดทนเต็มที่ ถ้ามี อุปสรรคปัญหา
ถ้าได้ลาภยศ ก็ไม่ลิงโลด อุเบกขา
ตั้งหน้า แต่จะทำความดี อย่างพลีชีพ
 ด้วยรู้ว่า การตบแต่งชีวิต มีสิทธิ์ทำได้ เพียงชาตินี้
และชีวี ก็เป็นของน้อยนิด เหมือนรอยกรีดน้ำ
เมื่อเทียบกับเวลาหลังตาย เปรียบไม่ได้ มากเหลือล้ำ
ซึ่ง พระพุทธองค์ ทรงย้ำ อยู่เสมอๆ
บุญวาสนา จะไหลมา เมื่อเวลาทำบุญ
ทำบุญเป็นสาย บุญวาสนาก็ไหลไม่ขาด
วังวนแห่งกิเลสกรรมวิบาก ถูกตัด
แสวงบุญไม่ขาด จึงจัด เป็นกิจกรณีย์

 ;;;;;;;;;;